New Southbound Policy Portal
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 24 เม.ย. 67
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 24 เมษายน ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้การต้อนรับ “คณะตัวแทนที่นำโดย Ms. Lisa McClain เลขาธิการการประชุมคอคัส (Caucus) พรรคริพับลิกัน สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ” โดยปธน.ไช่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เสร็จสิ้นการบัญญัติ “กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567” เมื่อช่วงที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออัดฉีดทรัพยากรทางการเงินในการสนับสนุนข้อเสนอและมาตรการของไต้หวัน โดยปธน.ไช่ฯ คาดหวังว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะมุ่งบัญญัติ “กฎหมายว่าด้วยการหลีกเลี่ยงและป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อน” (US-Taiwan Expedited Double-Tax Relief Act) โดยเร็ววัน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือแบบทวิภาคีด้านการลงทุนและอุตสาหกรรม และร่วมสร้างสภาพแวดล้อมการแลกเปลี่ยนที่ครอบคลุม นอกจากนี้ ปธน.ไช่ฯ ยังได้แสดงความขอบคุณต่อสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่มีมติเห็นชอบ “ร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อความมั่นคงแห่งชาติในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก” ด้วยคะแนนเสียงที่เป็นเอกฉันท์ นอกจากนี้ ปธน.ไช่ฯ ยังได้แสดงความขอบคุณต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ทุกท่านที่ให้การสนับสนุนไต้หวันด้วยวิธีการที่เป็นรูปธรรมอย่างหนักแน่นเสมอมา โดยสหรัฐฯ สวมบทบาทที่สำคัญในกลไกความร่วมมือระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ ในด้านต่างๆ ปธน.ไช่ฯ เน้นย้ำว่า ไต้หวันจะมุ่งประสานความร่วมมือกับสหรัฐฯ และประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มประเทศประชาธิปไตย เพื่อสร้างคุณประโยชน์ในการพัฒนาเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของโลก ให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป
ปธน.ไช่ฯเริ่มต้นการปราศรัยด้วยการกล่าวต้อนรับคณะตัวแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบข้ามพรรคของสหรัฐฯ พร้อมกล่าวว่า Ms. McClain Mr. Dan Kildee และ Mr. Mark Alford ล้วนแต่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ใน “กลุ่มพันธมิตรไต้หวันในรัฐสภาสหรัฐฯ” ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้นอกจากจะเฝ้าจับตาประเด็นไต้หวันมาเป็นเวลานานแล้ว ยังได้ให้การสนับสนุนไต้หวันเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศ ผ่านการลงนามและยื่นเสนอแผนการต่างๆ
ในปีนี้ประจวบกับเป็นวาระครบรอบ 45 ปีแห่งการบัญญัติ “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” เมื่อเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการ ไต้หวัน - สหรัฐฯ ยิ่งจำเป็นต้องประสานความร่วมมือกัน เพื่อร่วมสร้างคุณประโยชน์ด้านสันติภาพและเสถียรภาพ ให้คงอยู่ต่อไปในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก
Ms. McClain กล่าวขณะปราศรัยว่า แม้ว่าปธน.ไช่ฯ ใกล้จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวันในเร็ววันนี้ อย่างไรก็ตาม คุณประโยชน์ที่ปธน.ไช่ฯ ร่วมสร้างตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างความประทับใจให้แก่บุคคลในทุกภาคส่วน ไต้หวันเป็นประเทศที่ยึดมั่นในเสรีภาพและประชาธิปไตยอย่างหนักแน่น รัฐบาลสหรัฐฯ ต่างรู้สึกยกย่องชื่นชมต่อศักยภาพผู้นำของปธน.ไช่ฯ ตลอดทั้งวาระการดำรงตำแหน่ง และยิ่งเกิดความเข้าใจต่อความสำคัญของเสถียรภาพความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น
Ms. McClain กล่าวว่า ไต้หวันต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่มาจากจีนในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามทางทหารในน่านฟ้า พฤติกรรมความท้าทายในน่านน้ำหรือแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ไต้หวันยังคงยืนหยัดต่อสู้เพื่อเสรีภาพ สหรัฐฯคือสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพ ประวัติศาสตร์ของพวกเราคือการก้าวผ่านอุปสรรคนานับประการ และส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการดำเนินชีวิตอย่างเสรี ซึ่งไต้หวันก็มีประวัติศาสตร์ที่คล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นไปอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละฟากฟ้าก็ตาม
Mr. Kildee กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ เป็นไปอย่างลุ่มลึก ภาคประชาชนทั้งสองฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างแนบแน่น ประกอบกับรัฐบาลทั้งสองฝ่ายต่างก็ประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด การเดินทางเยือนไต้หวันในครั้งนี้ ก็เพื่อหวังที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบทวิภาคีอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การร่วมเผชิญหน้ากับความท้าทายในยุคศตวรรษที่ 21
Mr. Kildee ระบุว่า ช่วงเวลาที่เดินทางเยือนไต้หวันในครั้งนี้ ถือว่ามีนัยสำคัญ ก่อนหน้านี้ไม่นาน รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติเห็นชอบ “ร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อความมั่นคงแห่งชาติในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก” เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือที่จำเป็น โดยในปัจจุบัน พวกเรายังได้ดำเนินการเจรจาทางการค้าที่สำคัญระหว่างกัน เนื่องด้วย Mr. Kildee เป็น สมาชิก “คณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎร” ที่มีหน้าที่กำกับดูแลประเด็นทางการค้าและภาษีอากร ในระหว่างการผลักดันการเจรจาทางการค้า ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ Mr. Kildee ได้มุ่งมั่นจัดการประเด็นปัญหาการเก็บภาษีซ้ำซ้อนระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ เสมอมา เนื่องจากเป็นภารกิจที่มีความสำคัญต่อภาคประชาชนของสองประเทศ ปธน.ไช่ฯ จึงคาดหวังว่า Mr. Kildee จะประสบความสำเร็จในการผลักดันภารกิจข้างต้น ก่อนครบวาระการดำรงตำแหน่งในรัฐสภาสหรัฐฯ
Mr. Alford ระบุว่า ในปีนี้เป็นวาระครบรอบ 45 ปีแห่งการบัญญัติ “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” และเป็นการแสดงจุดยืนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของสหรัฐฯ ในการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์และกลไกการบริการทางกลาโหมที่ไต้หวันต้องการ เพื่อเป็นการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางการป้องกันประเทศด้วยการพึ่งพาตนเองให้ไต้หวัน โดย รัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องเร่งจัดการแก้ไขปัญหาการส่งมอบยุทโธปกรณ์ล่าช้ากว่ากำหนด เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันธำรงแสนยานุภาพทางการทหารได้ตามที่ต้องการ
Mr. Alford แถลงว่า “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” ยังระบุว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องจัดสรรอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สามารถต่อต้านภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้ มักจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ รวมไปถึงภาคประชาสังคมและเขตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน ควบคู่ไปกับการมุ่งแก้ไขปัญหาการเก็บภาษีซ้ำซ้อน และการช่วยส่งเสริมให้ไต้หวันเป็นที่รู้จักในเวทีนานาชาติมากขึ้น
Mr. Alford แถลงว่า แม้ว่ามีกลุ่มคนบางส่วนที่เห็นว่า “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” เป็นกลยุทธ์ที่กระตุ้นให้ยุทธศาสตร์ของสหรัฐเกิดความไม่ชัดเจน แต่ Mr. Alford เน้นย้ำว่า อย่าได้สงสัยต่อการสนับสนุนที่สหรัฐฯ มีต่อไต้หวันหรือประชาชนชาวไต้หวัน และอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่สุกสว่าง การเดินทางมาเยือนไต้หวันของคณะตัวแทนในครั้งนี้ ในฐานะมิตรสหาย เพื่อนร่วมงานแบบข้ามพรรค ก็เพื่อต้องการสื่อให้ประชาชนชาวไต้หวันได้ทราบว่า สหรัฐฯ จะยืนเคียงข้างไต้หวัน และร่วมประสานสามัคคีในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามทุกประการ เพื่อร่วมธำรงรักษาเสรีภาพและประชาธิปไตยในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก