ครูหยางซิ่วชิงอายุเกิน 80 ปีแล้ว ยังคงแสดง “เหลี่ยมกัว” โดยหวังจะสืบสานวัฒนธรรมพื้นบ้านเก่าแก่ต่อไป |
"เหลี่ยมกัว" เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของไต้หวันที่สืบทอดกันมานานกว่า 300 ปี ในอดีตสถานที่จัดแสดงของเหล่าศิลปินคือ ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลานหน้าศาลเจ้าหรือเวทีแสดงประจำหมู่บ้าน อุปกรณ์ที่ใช้มีพิณ 1 คัน กับเก้าอี้ 1 ตัว เพียงเท่านี้ก็สามารถเปิดการแสดงได้แล้วและสามารถดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปมาให้หยุดชมได้มากมาย
"เหลี่ยมกัว" คือศิลปะการร้องเพลงสอดแทรกการเล่านิทานหรือเรื่องราวต่างๆ เข้าไป ในอดีตใช้นักร้องเพียงคนเดียว แต่ปัจจุบันมักเป็นการแสดงร่วมกันของศิลปิน 2 คน คนหนึ่งสีซอต้ากว่าง (大廣弦 : ซอเสียงทุ้มต่ำ) อีกคนดีดพิณวงเดือน (月琴 : เยว่ฉิน ) เนื้อเพลงมักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความซื่อสัตย์และกตัญญู ส่วนใหญ่ใช้ภาษาฮกเกี้ยน แต่งเป็นบทกลอนออกมาบทละ 4 วรรค วรรคละ 7 คำ เรียกกันว่า กลอน 7 ได้รับความนิยมมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีกลอนเจียงหู (江湖) กลอนตูหม่า (都馬) ซึ่งล้วนเป็นวิธีการแต่งบทกลอนแบบโบราณ (ในอดีตลักษณะของบทกลอนและทำนองดนตรีมักจะยึดตามแบบเก่าแก่ดั้งเดิม จะเปลี่ยนแปลงเพียงเนื้อร้องที่แต่งขึ้นมาใหม่เท่านั้น) ในยุคที่สื่อโทรทัศน์ยังไม่แพร่หลาย ìเหลี่ยมกัวî จึงเป็นกิจกรรมบันเทิงที่ได้รับความนิยมจากชาวบ้านโดยทั่วไป แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ศิลปะการแสดงประเภทนี้เสื่อมความนิยมไปมากจนถึงขั้นวิกฤต อันเป็นผลมาจากความแพร่หลายของสื่อโทรทัศน์และสื่ออื่นๆ ตลอดจนการขาดช่วงของภาษาฮกเกี้ยนในสังคมไต้หวัน ประกอบกับการล้มหายตายจากไปของศิลปินระดับครูเพลง ทำให้ศิลปะการแสดงประเภทนี้กำลังจะสูญหายไป
“ตำรางิ้ว” ซึ่งเป็นเนื้อร้องของการ เหลี่ยมกัวที่สืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน มัก เป็นเร่อื งราวเก่ยี วกับความซ่อื สัตย์และ กตัญญู |
หยางซิ่วชิง ศิลปินระดับชาติ
ครูหยางซิ่วชิง (楊秀卿) วัย 83 ปี เป็นศิลปิน "เหลี่ยมกัว" ระดับครูเพลงเพียงคนเดียวที่ยังยึดอาชีพนี้ เธอพิการทางสายตาตั้งแต่เด็ก เริ่มอาชีพร้องเพลงข้างทางตั้งแต่อายุ 13 ปี และเป็นผู้ริเริ่ม "การร้องเพลงงิ้วเป็นภาษาพูด" ครูหยางซิ่วชิงได้รับการประกาศเกียรติคุณจากกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวัน ยกย่องให้เป็น "ผู้อนุรักษ์ศิลปะการแสดงเหลี่ยมกัว" ในปีค.ศ. 2009 ในความเป็นจริงแล้ว ครูหยางทุ่มเทความพยายามในการอนุรักษ์และถ่ายทอดศิลปะการแสดงเหลี่ยมกัวที่ฝึกฝนมาตลอดชีวิตจนมีความเชี่ยวชาญให้แก่คนรุ่นหลังตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา โดยคุณฉู่เจี้ยนจื่อ (儲見智) กับคุณหลินเถียนอาน (林恬安) สมาชิกวง Taiwan Smile Folksong คือลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาในช่วงบั้นปลายชีวิต ศิลปินรุ่นใหม่ทั้งสองไม่เพียงสืบทอดศิลปะการแสดงเก่าแก่ของไต้หวันประเภทนี้ให้คงอยู่ต่อไป แต่ยังทดลองนำไอเดียใหม่ๆ ผสมผสานลงไป เพื่อสร้างสรรค์ผลงานแนวใหม่ออกมา
คุณฉู่เจี้ยนจื้อซึ่งทำหน้าที่สีซอต้ากว่าง ดูเผินๆ ราวกับเป็นพระเอกงิ้วเก่า เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่าเพิ่งจะอายุ 40 เศษๆ ส่วนคุณหลินเถียนอานเพิ่งจะอายุ 30 กว่าๆ หน้าตาน่ารัก เพิ่งจะเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของครูหยางได้เพียง 6-7 ปี แม้จะเริ่มเรียนตอนอายุค่อนข้างมากแล้ว แต่จากการที่ทั้งคู่มีพื้นฐานความรู้ด้านดนตรีที่ดีมาก โดยคุณฉู่จบด้านการแสดงอุปรากรโบราณ ส่วนคุณหลินเรียนด้านดนตรีจีน คุณฉู่เล่นดนตรีประกอบการแสดงของคณะงิ้วไต้หวันมานานหลายปี เขามักอาศัยเวลาว่างหยิบซอหูฉินและซอต้ากว่างมาสีเล่นเป็นประจำ เมื่อครูในคณะงิ้วเห็นเข้าจึงแนะให้จับคู่กับคุณหลิน คนหนึ่งฝึกสีซอต้ากว่าง อีกคนฝึกดีดพิณวงเดือน ไปเรียนการแสดง "เหลี่ยมกัว" ด้วยกัน ในตอนนั้นคุณฉู่กับคุณหลินยังไม่เคยรู้จัก "เหลี่ยมกัวî มาก่อน คืนวันเดียวกันนั้นทั้งคู่ตรงดิ่งไปที่ "ร้านแผ่นเสียงร้านที่ 1" บนถนนเหยียนผิงเป่ยลู่ในกรุงไทเป ซื้อเทปเพลง "เหลี่ยมกัว" ของครูหยางซิ่วชิงกลับมาฟัง คุณฉู่เล่าถึงความรู้สึกที่ได้ฟัง "เหลี่ยมกัว"
ครั้งแรกว่า "ตอนนั้นแม้แต่ชื่อของครูหยางซิ่วชิงก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่คิดเลยว่าพอเปิดฟังก็รู้สึกโดนใจจริงๆ และรู้สึกคึกคักมาก" ทั้งคู่ฟังไปเรียนไป สองปีต่อมามีโอกาสได้เจอตัวจริงของครูหยางซิ่วชิงจึงฝากตัวขอเป็นลูกศิษย์
ข้ามวงการร่วมมือกันเพื่อ
สร้างสรรค์ศิลปะการแสดงไต้หวัน
หลังเข้าเป็นลูกศิษย์ของครูหยางแล้ว ภารกิจสำคัญของคุณฉู่กับคุณหลินคือการสืบทอดและเผยแพร่ศิลปะการแสดง "เหลี่ยมกัว" ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น ในช่วงแรกๆ ทั้งสองได้ยื่นของบประมาณจากกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวันเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตระเวนแสดงตามศาลเจ้าหรือวัดวาต่างๆ ใช้รถตู้เพียงหนึ่งคันบรรทุกอุปกรณ์ทุกอย่าง ตั้งเวทีแบบง่ายๆ กลางลานวัด ทั้งสองคนขึ้นนั่งบนเวที ตีฆ้องร้องป่าวเรียกผู้ชมให้ล้อมวงเข้ามาแล้วก็เปิดการแสดง บางครั้งแสดงไปได้ไม่นาน ข้างล่างเวทีเหลือผู้ชมเพียงอากงคนเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังพยายามแสดงจนจบ ตอนนั้นคุณฉู่บอกอากงว่า ìอากง อย่าไปไหนนะครับ ที่นี่เหลืออากงคนเดียวแล้ว เรามาดวลกันแบบตัวต่อตัว ผมยังหนุ่มกว่า อากงไม่มีทางชนะผมแน่ๆ แต่ถ้าอากงจะไปห้องน้ำ ต้องขออนุญาตผมก่อนî เขาเล่าพลางยิ้มแบบฝืนๆ
เพื่อให้ผู้คนรู้จัก "เหลี่ยมกัว" มากขึ้น "Taiwan Smile Folksong" ได้ร่วมมือกับวงดนตรีแนวอื่นมากมาย โดยหวังว่าความร่วมมือแบบข้ามวงการจะช่วยให้ศิลปะการแสดงดั้งเดิมนี้กลายเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของผู้คนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการยืดชีวิตศิลปะการแสดง ìเหลี่ยมกัวî ให้ยืนยาวต่อไป
ปีค.ศ.2014 MI วงดนตรีจากเยอรมนี ซึ่งสมาชิกในวงประกอบด้วยนักดนตรีแจ๊สจากเยอรมนี สหรัฐอเมริกา อิตาลี สโลวัก และไต้หวัน เชี่ยวชาญเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด อาทิ ขลุ่ยไม้ไผ่ แซกโซโฟน กีต้าร์ เบส กล็อคเคนสปิล และกลองชุด พวกเขาต้องการจะใช้ดนตรีแจ๊สในการสะท้อนแนวคิดด้านดนตรีของไต้หวัน คุณฉู่ใช้เวลาตลอดช่วงซัมเมอร์แบ่งปันประสบการณ์และจิตวิญญาณของ ìเหลี่ยมกัวî ให้พวกเขาได้รับรู้ จนในที่สุดสามารถเปิดการแสดงดนตรีแจ๊ส
ภายใต้ชื่อ ìSong of Exhortationî ที่ย่านต้าเต้าเฉิงซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าในกรุงไทเป นับเป็นการลองใช้ดนตรีแนวแจ๊สมาผสมผสานกับ ìเหลี่ยมกัวî ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมา ความร่วมมือกับวงการดนตรีแนวอื่นเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ครูหยางและวง Taiwan Smile Folksong ได้รับเชิญให้เข้าร่วมแสดงในงาน "Megaport Music Festival" ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีแนวอินดี้ (Independent music) ซึ่งจัดขึ้นที่ภาคใต้ของไต้หวัน เมื่อศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมปะทะกับดนตรีร็อก สิ่งที่บังเกิดขึ้นในงานครั้งนั้นก็คือ ความมันส์สุดขีด หลังจบการแสดง คุณฉู่ได้รับคำเชิญให้ร่วมงานต่างๆ มากมาย คุณฉู่กล่าวว่า ìหนุ่มสาวยุคนี้ส่วนใหญ่ได้สัมผัสแต่วัฒนธรรมและดนตรีต่างชาติ พวกเขาอยากจะถ่ายทอดเอกลักษณ์ของไต้หวันแต่ไม่รู้จะทำยังไงî ด้วยเหตุนี้เอง ìเหลี่ยมกัวî ซึ่งเป็นวัฒนธรรมไต้หวันแท้และดั้งเดิมจึงกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาหลงรักทันทีที่ได้รู้จัก
ครูหยางซิวชิงดีดพิณพลางเปิดฉากร้องว่า “ฉันจะเหลี่ยมกัวให้พวกคุณฟัง...” |
เสน่ห์ของแจ๊สสไตล์ไต้หวันอยู่ที่การด้นสด
นอกจากเป็นวัฒนธรรมแท้และดั้งเดิมของไต้หวันแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของ "เหลี่ยมกัว" คือ การด้นสดหรืออิมโพรไวเซชัน (Improvisation) เนื้อเพลง "เหลี่ยมกัว" ยึดแนวเดียวกับ "เพลงงิ้ว" แต่เพิ่มเรื่องราวที่เป็นสถานการณ์ปัจจุบันและประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสังคมเข้าไปด้วยเพื่อดึงดูดผู้ชม แนวดนตรีเหมือนกันแต่ต่างกันที่เนื้อร้อง ท่วงทำนองหรือจังหวะจะมีการปรับให้ช้าลงหรือเร็วขึ้นตามปฏิกิริยาของผู้ชมในขณะนั้น ศิลปิน ìเหลี่ยมกัวî ที่เก่งกาจสามารถสร้างสรรค์ผลงานแบบด้นสดหรือแต่งเนื้อเพลงออกมาได้ทันที โดยไม่ต้องเตรียมการล่วงหน้า คุณฉู่แสดงความเห็นว่า ìเหลี่ยมกัวคือดนตรีแจ๊สของไต้หวันî
ความสามารถในระดับนี้มาจากพื้นฐานและประสบการณ์การแสดงนับครั้งไม่ถ้วนที่สั่งสมมาเป็นเวลายาวนาน ในอดีต
ศิลปิน "เหลี่ยมกัว" ร้องเล่านิทานเป็นกลอุบายดึงดูดผู้คน หยุดชมแล้วจึงนำเสนอสินค้า โดยที่พบบ่อยคือการขายยา คุณฉู่เล่าว่า "ในอดีตระหว่างแสดง ศิลปินเหลี่ยมกัวก็ไม่ต่างจากหมอจีนที่ต้องแมะชีพจรคนไข้เพื่อตรวจดูอาการและคอยสังเกตรูปลักษณ์ของคนไข้ แสดงไปได้ช่วงหนึ่งก็จะลองปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม เช่น "เอ๊ะ! คุณผู้ชายท่านนี้หมู่นี้หลับไม่ค่อยดี ระวังความดันสูงนะครับ แนะนำว่า......î " จุดประสงค์ก็เพื่อจะขายยานั่นเอง
ครูหยางซิ่วชิงซึ่งแรกเริ่มเดิมทีจะใช้วิธีร้องแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ต่อมา เธอได้สร้างสรรค์แนวการร้องแบบใหม่ที่ใช้การเล่าเรื่องราวต่างๆ สอดแทรกเข้าไปกลายเป็นการเหลี่ยมกัวแบบ ìพูดไปร้องไปî ไม่เพียงทำนองจังหวะกระชับ ยังทำให้ผู้ชมเข้าใจความหมายของเนื้อเพลงที่ร้องได้ดียิ่งขึ้น คุณหลินเถียนอานเล่าว่า ìอาจารย์ (หยางซิ่วชิง) มองไม่เห็น ดังนั้นระหว่างที่ท่านแสดงท่านกลัวว่าผู้ชมจะหนีหมด ก็เลยใช้วิธีเล่าผสมผสานกับการร้องเพื่อให้นิทานกระชับน่าสนใจยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ชมไม่อยากเดินจากไปî
"เหลี่ยมกัว" กลายเป็นศิลปะการแสดงที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น อาทิ หวงอวี่เชียน (黃宇謙) จางฟางหรง
(張芳榕) และหวังป๋อเหริน (王柏仁) นักศึกษาจากคณะการออกแบบนิเทศศิลป์ (Visual Communication Design) ของมหาวิทยาลัย National Yunlin University of Science and Technology University (YunTech) ต้องการใช้ประเด็นเรื่อง ì...... ของไต้หวันî มาเป็นหัวข้อการทำโปรเจคก่อนจบการศึกษา หลังพูดคุยหารือกับฉู่เจี้ยนจื่อและฝึกฝนเรียนรู้เป็นเวลาครึ่งปี ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงานใหม่ออกมา
เดิมทีวง "Taiwan Smile Folksong" มีความคิดที่จะออกอัลบั้มและถ่ายทำ MV เพลงเหลี่ยมกัวอยู่แล้ว การที่ทีมนักศึกษาจาก YunTech เข้ามาร่วมงานทำให้การออกแบบด้านนิเทศศิลป์ของอัลบั้มเพลง ìWhat Are You Singing?î มีความสมบูรณ์มากขึ้น MV เพลงชุดนี้ใช้นิทานเรื่อง "องค์ชายนาจาอาละวาดวังมังกรที่ทะเลตะวันออก" เป็นหลักสอดแทรกเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหลอมรวมเข้าไป ยกตัวอย่างเช่น นำเอาคำว่าตงไห่ (東海) ที่แปลว่าทะเลตะวันออกมาเชื่อมโยงเข้ากับตงไห่ (東海) ซึ่งเป็นชื่อไนท์บาร์ซาแห่งหนึ่งในนครไทจง เนื้อหาใน MV ที่เกี่ยวกับตำนานขององค์ชายนาจาอยู่ในครรภ์ของพระมารดา 3 ปี 6 เดือน จึงได้เชิญ ดร.เคอเหวินเจ๋อ ผู้ว่าการกรุงไทเป ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมาช่วยตรวจครรภ์ นับเป็นเรื่องราวที่พลิกตำนานเก่าแก่ดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง ทุกฉากใน MV ใช้เทคนิคการถ่าย Time Lapse และการตัดต่อภาพโดยใช้มือเขียนเนื้อเพลง ตัดกระดาษ และวาดรูปลงไป วิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกสนานครื้นเครง อีกทั้งทำให้ "เหลี่ยมกัว" ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงเก่าแก่น่าสนใจและเป็นกันเองมากขึ้น
คุณฉู่ยังเล่าว่า ระหว่างถ่ายทำ MV เขา "ด้นสด" ออกมา 2 ตอน ซึ่งทำเอาทีมงานจากมหาวิทยาลัย YunTech ปวดหัวไปตามๆ กัน โดยปกติผู้แสดง "เหลี่ยมกัว" สามารถนำเรื่องราวที่พบเห็น ณ สถานที่แสดงเพิ่มเข้าไปในเนื้อเพลงซึ่งต่างจากการถ่ายทำ MV ที่ทุกฉากจะออกแบบให้พอดีกับเนื้อเพลง แม้คุณฉู่จะหารือกับครูหยางเกี่ยวกับนิทานและบทใน MV ไว้ก่อนแล้วก็ตาม แต่เนื้อเพลงที่ครูหยางร้องในห้องอัดเสียงแต่ละครั้ง ไม่เคยเหมือนกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้มีผลกระทบต่อการถ่ายทำ
ทุกฉากใน MV อัลบั้ม “What Are You Singing?” ใช้เทคนิค การถ่าย Time Lapse และการตัดต่อภาพโดยใช้มือเขียนเนื้อ เพลง ตัดกระดาษ และวาดรูปลงไป วิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่ ทำให้ผู้ชมรู้สึกครื้นเครงสนุกสนาน |
ผลงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากการระดมความคิดของคนรุ่นเก่ากับหนุ่มสาวรุ่นใหม่ได้รับการพิสูจน์ความสำเร็จจากการที่สามารถคว้ารางวัล Best of the Best Red Dot Award in Communication Design มาครอง ทำให้ "เหลี่ยมกัว" มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไต้หวันสร้างชื่อเสียงในเวทีสากล
ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ แดดร่มลมตก เวลาบ่ายสี่โมงเย็นของวันหนึ่งในช่วงกลางเดือนสิงหาคม ผู้คนจำนวนมากนั่งๆ นอนๆ ชมการแสดงของครูหยางซิ่วชิงในคอนเสิร์ต "เทศกาลดนตรีเสรีภาพ" ที่สนามหน้าพิพิธภัณฑ์ CMP Block Museum of Arts ครูหยางกล่าวทักทายผู้ชมว่า "มาฟังอา
ม่าอายุ 98 ปี ร้องเพลงกันเหรอ" เรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อย คุณฉู่กับคุณหลินซึ่งประกบอยู่สองข้างของครูหยาง คนหนึ่งสีซอต้ากว่าง อีกคนดีดพิณวงเดือน ขณะที่ครูหยางใช้มือซ้ายจับด้ามพิณเอาไว้ ส่วนมือขวาใช้ปิ๊ก เขาดีดสายพิณไปมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีท่าทางเชื่องช้าแบบคนแก่เลยแม้แต่น้อย ระหว่างที่ครูหยาง ìเหลี่ยมกัวî คุณหลินจะสอดแทรกเรื่องตลกเข้าไปท่ามกลางเสียงซอและเสียงพิณที่บรรเลงอยู่ตลอดเวลา ขณะที่คุณฉู่จะคอยเตือนผู้ชมว่า ถึงเวลาที่ต้องปรบมือให้กำลังใจแล้ว ผู้ชมสนุกสนานเฮฮากันตลอดช่วงการแสดง
การแสดงในวันนั้นเป็นนิยายเรื่อง "ตำนานรักเหลียงซานป๋อกับจู้อิงไถ (ม่านประเพณี)" นิยายรักโรแมนติกของจีนที่โด่งดัง ครูหยางกล่าวก่อนเริ่มการแสดงว่า "ฉันจะเหลี่ยมกัวให้พวกคุณฟัง......"
เราหวังว่า "เหลี่ยมกัว" มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไต้หวันจะมีการสืบสานให้คงอยู่ตลอดไป