เมื่อมีโอกาสได้ออกไปเที่ยวนอกเมือง เหล่านักเดินทางทั้งหลายมักอดไม่ได้ที่จะผิวปากเพื่อทักทายกับนกน้อยที่ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วอย่างสนุกสนาน ลักษณะของเสียงผิวปากเช่นนี้เป็นเสียงที่เกิดจากลมในช่องท้องส่วนล่างส่งผ่านระหว่างช่องของริมฝีปาก ท่าทางการผิวปากที่ดูแล้วน่าจะทำได้ไม่ยากเท่าไรนัก คือท่วงท่าการแสดง ìเสี้ยวเยว่î ของเหล่าปัญญาชนยามพบปะสังสรรค์กันเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน
ปัจจุบันทักษะที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงความสามารถเล็กน้อยในสายตาของคนนอก แท้ที่จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความรู้เชิงลึกอย่างมาก จากความชอบนำไปสู่ความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง คุณหลี่ เจินจี๋
(李貞吉) ได้ให้นิยามของการผิวปากขึ้นใหม่ว่า "เสียงเพลงจากริมฝีปาก" เขาใช้ริมฝีปากของเขาผิวปากเป็นเสียงเพลงต่างๆ ซึ่งนอกจากเขาจะเป็นชาวจีนที่ออกอัลบั้มเพลงผิวปากเป็นคนแรกแล้ว เขายังเป็นคนแรกที่นำเอาเสียงดนตรีจากการผิวปากขณะนั่งบนหลังวัว มาเปิดการแสดงบนเวทีของ National Concert Hall ในกรุงไทเปอีกด้วย และตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา หลี่เจินจี๋ ผู้หลงใหลใน "ริมฝีปาก" ได้จับคู่กับลูกชาย หลี่อวี้หลุน (李育倫) ออกตระเวนเปิดการแสดงเพลงผิวปากทั่วทั้งในและต่างประเทศ
คนมักจะฮัมเพลงกันบ่อยๆ ในยามที่อารมณ์ดี และบางครั้งอาจจะมีการผิวปากอย่างสนุกสนานควบคู่ไปด้วย การเล่นดนตรีแบบด้นสดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว กลับมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ในคัมภีร์ ìซือจิงî (詩經) หนังสือที่รวบรวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน เรียกเสียงเพลงเช่นนี้ว่า ìเสี้ยวเยว่î ซึ่งหมายถึงเสียงดนตรีหรือเสียงเพลงที่เกิดจากการผิวปาก ในสมัยก่อน บรรดากวีและนักปราชญ์ทั้งหลาย เช่น ขงเบ้ง เถาเฉียน และเฉาจื๋อ นิยมสร้างเสียงเพลงจากการผิวปาก กล่าวได้ว่าเสียงผิวปากเป็นการสร้างสรรค์เสียงดนตรีที่ขาดไม่ได้ในยามที่พวกเขาได้มาพบปะสังสรรค์กัน
การผิวปากเป็นวิธีการแสดงออกโดยการใช้เสียงอย่างหนึ่งที่หลายๆ คน ทำได้ตั้งแต่เด็กๆ คุณหลี่เจินจี๋ ชาวตำบลวั่นตัน เมืองผิงตง ก็เช่นเดียวกัน ยามที่เขามีเวลาว่างจากการเรียน เขามักจะออกไปเลี้ยงวัวที่ริมแม่น้ำและสร้างความเพลิดเพลินบันเทิงใจด้วยการผิวปากให้วัวฟัง ขณะที่นั่งอยู่บนหลังวัว บรรดาวัวทั้งหลายต่างรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ฟังเสียงผิวปากที่ไพเราะ บางครั้งถึงกับลืมกินหญ้าก็มี โดยที่ตัวเขาเองก็ค่อยๆ เกิดความสนใจในการผิวปากตามมา
ìเพลงผิวปากî เสียงที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด
การที่หลี่เจินจี๋ ผู้ได้รับฉายาว่า "เจ้าพ่อแห่งเพลงผิวปาก" ได้ใกล้ชิดและคุ้นเคยกับดนตรี มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเขาไม่มากก็น้อย
บิดาและพี่ชายของเขาเป็นนักดนตรีที่มีความเชี่ยวชาญใน หูฉิน (เครื่องดนตรีประเภทซอ) และคลาริเน็ต สมัยก่อนการซื้อเครื่องดนตรีเช่นนี้ได้ต้องใช้เงินจำนวนมาก และยังถือเป็นเครื่องมือในการหาเลี้ยงชีพของพวกเขาอีกด้วย หลี่เจินจี๋ซึ่งยังเป็นเด็กในขณะนั้นจึงถูกห้ามไม่ให้จับต้องโดยเด็ดขาด กระนั้นก็ตาม ก็ไม่อาจห้ามความหลงใหลที่มีต่อดนตรีให้เกิดขึ้นในตัวหลี่เจินจี๋ได้
จากความชอบนำไปสู่ความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง คุณ หลี่เจินจี๋ได้ให้นิยามของการผิวปากขึ้นใหม่ว่า “เสียงเพลงจากริม ฝีปาก” เขาใช้ริมฝีปากของเขาผิวปากเป็นบทเพลงต่างๆ เป็นชาวจีน ที่ออกอัลบั้มเพลงผิวปากเป็นคนแรก และยังเป็นคนแรกที่นำเอาเสียง ดนตรจี ากการผวิ ปากขณะนงั่ บนหลงั ววั มาเปดิ การแสดงบนเวทขี อง National Concert Hall ในกรุงไทเปอีกด้วย |
ขณะที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อนนักเรียนพากันเชียร์ให้เขาขึ้นเวทีแสดง และนั่นก็คือการแสดงผิวปากครั้งแรกของหลี่เจินจี๋ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ในขณะที่เขาได้รับเสียงปรบมือ เขาเกิดความรู้สึกขึ้นว่า ìสามารถทำให้การผิวปากกลายเป็นเสียงเพลงî ได้ และเริ่มศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังในเวลาต่อมา
"ดังเช่นคำกล่าวของคนโบราณที่ว่า เสียงจากเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายไม่ไพเราะเท่าเสียงจากเครื่องเป่า เสียงจากเครื่องเป่าไหนเลยจะสู้เสียงมหัศจรรย์ของมนุษย์ได้ เสน่ห์ที่ดึงดูดใจของบทเพลงจากริมฝีปากคือ เสียงที่ออกมาจากร่างกายมนุษย์ที่เป็นธรรมชาติและลึกซึ้งกินใจมากที่สุด" หลี่เจินจี๋สามารถพูดถึงความน่าสนใจของบทเพลงริมฝีปากได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำให้เพลงผิวปากแตกต่างจากเครื่องดนตรีอื่นๆ เช่น ขลุ่ยหรือพิณ ที่จำเป็นต้องใช้นิ้วกดเพื่อปิดรูบังคับเสียง หรือการเสียดสีเส้นสายให้เกิดเป็นทำนองเพลง คือ อาศัยริมฝีปากอย่างเดียวในการทำให้เกิดเสียง ใครก็ตามที่รู้เทคนิคและหลักการก็สามารถสร้างเสียงเพลงจากริมฝีปากได้
จากเด็กเลี้ยงวัวที่ชื่นชอบการผิวปากเติบโตมาเป็นนักผิวปากขั้นเทพ หลี่เจินจี๋พากเพียรฝึกฝนด้วยตัวเองจวบจนกระทั่งเขาค้นพบเคล็ดลับต่างๆ ตลอดจนเทคนิคการผิวปากที่เป็นของตัวเองขึ้นมา เช่น การใช้กล้ามเนื้อช่องท้อง การควบคุมลมหายใจ และการควบคุมการปล่อยลมเข้าออก เป็นต้น
ใช้เทคนิคที่หลากหลาย ท้าทายเพลงยากๆ
"หยางหมิงชุนเสี่ยว (陽明春曉)î คือบทเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับหลี่เจินจี๋ โดยเป็นเพลงประกอบรายการ "ภาษาจีนวันละคำ (每日一字)" ซึ่งเป็นรายการที่รู้จักกันดีในไต้หวัน ท่วงทำนองเพลงดังกล่าวเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจำนวนมาก ดนตรีที่ไพเราะเสนาะหูทำให้คนฟังรู้สึกราวกับได้ไปเดินอยู่บนเขาหยางหมิงซันจริงๆ เขาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อใช้เทคนิคการผิวปากที่เขาคิดค้นขึ้น มาสร้างสรรค์เป็นบทเพลงที่ไพเราะประกอบการแสดงดนตรี
ทำนองดนตรีทั่วไปใน 1 นาทีจะมี 60-70 จังหวะ จุดที่ยากที่สุดของเพลง ìหยางหมิงชุนเสี่ยวî คือ ใน 1 นาที ท่อนเร็วจะมีจังหวะมากถึง 180 จังหวะ ขณะที่จังหวะในท่อนช้ามีเพียง 40 จังหวะต่อนาที หลี่เจินจี๋อธิบายให้เห็นถึงความท้าทายของท่วงทำนองที่มีทั้งจังหวะช้าและเร็วว่า ìจังหวะเร็วก็เร็วจนหายใจแทบไม่ทัน ส่วนจังหวะช้าก็ต้องชะลอลมหายใจให้ยาวออกไปî
หลี่เจินจี๋เขียนบทกลอน “หลีเหอฉางโถว” ด้วยลายมือพู่กันเพื่อนำไป รวมไว้ในอัลบั้มภาพเขียนพู่กัน “บทเพลงเหนือคำบรรยาย” (ภาพจาก หลี่เจินจี๋) |
"ในจังหวะเร็วจะต้องเปล่งเสียงให้สม่ำเสมอและชัดเจน" หลี่เจินจี๋จึงใช้เทคนิค "การควบคุมกล้ามเนื้อช่องท้อง" มาช่วยควบคุมการเปล่งเสียง ขณะที่การสร้างเสียงทุ้มหรือแหลมในระดับต่างๆ เขาจะใช้การควบคุมลมที่ผ่านเข้าออกริมฝีปากเพื่อทำให้เกิดเสียงสูงต่ำ หรือที่เรียกว่าเทคนิค "การควบคุมการปล่อยลมเข้าออก" สำหรับเทคนิค "การควบคุมลมหายใจ" เป็นเทคนิคที่อาศัยการหายใจในการเปลี่ยนลมที่ปล่อยผ่านออกจากลำคอให้สามารถยืดเสียงยาวออกไปได้ไม่สิ้นสุด ทำให้ได้เสียงยาวที่มีความนุ่มนวลและเสนาะหู
การจะควบคุมเทคนิคต่างๆ ให้ได้ดังใจนั้น สัมพันธ์กับการเก็บ "ลม" ได้มากเพียงพอหรือไม่ หากเก็บลมได้มากพอก็จะสามารถหายใจและเปลี่ยนลมหายใจได้สะดวก ระหว่างเปลี่ยนลมจะมีเสียงคล้ายกับเสียงลูกสุนัขหายใจถี่ดังขึ้น ซึ่งก็คือการร้องเพลงตามหลักทฤษฎี
หลี่เจินจี๋ใช้เวลานานกว่า 2 ปี จึงฝึกเพลง ìหยางหมิงชุนเสี่ยวî ได้สำเร็จ เขายังได้พยายามฝึกฝนการใช้เทคนิคต่างๆ จนเกิดความเชี่ยวชาญ และเป็นบุคคลที่บรรดาผู้ที่ชื่นชอบในเพลงผิวปากทั้งจากในและต่างประเทศมาขอคำปรึกษาจากเขาอยู่เสมอ
เขาไม่เพียงนำเอาเพลงผิวปากที่คุ้นหูมาถ่ายทอดเป็นเสียงดนตรีและแสดงบนเวทีของ National Concert Hall เท่านั้น เนื่องจากเสียงเพลงหรือเสียงดนตรีที่มีความเหมาะสมและสามารถนำมาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการผิวปากได้มีค่อนข้างจำกัด แต่ด้วยความที่หลี่เจินจี๋ชอบทดลองและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เขาจึงหันมาทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ให้เกิดความแปลกใหม่ในเสียงเพลง
งานสร้างสรรค์ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ โดยเฉพาะท่วงทำนองดนตรีที่ต้องไม่เรียบง่ายจนเกินไปนัก รูปแบบของดนตรีต้องหลากหลายและให้ความรู้สึกลึกซึ้งกินใจ หลี่เจินจี๋ซึ่งมีความชำนาญในศิลปะการเขียนพู่กันจีน ได้ใช้แรงบันดาลใจที่เขาได้รับจากเรื่องราวความรักระหว่างซูตงพอ (蘇東坡) กวีเอกในสมัยราชวงศ์ซ่ง และหวางเฉาหยุน (王朝雲) มาสร้างสรรค์เป็นบทเพลง ìเฉาหยุนโยวม่ง (朝雲幽夢)î เขาอธิบายว่า ìการแต่งเพลงผิวปากที่มีท่วงทำนองยาวถึง 4 นาทีให้ได้สักเพลง ยังยากกว่าการคลอดลูกเสียอีกî สิ่งที่ยากที่สุดระหว่างเขียนเพลงคือ การถ่ายทอดความรู้สึกและอารมณ์ออกมาเป็นเสียงเพลง ซึ่งต้องอาศัยการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตลอดจนขอคำแนะนำจากนักร้องและนักแต่งเพลงหลายต่อหลายครั้ง จึงสามารถแต่งทำนองเพลงออกมาได้สำเร็จ
หลี่อวี้หลุน (ซ้าย) ร่วมกับหวงอวี้เสียง (黃裕翔) และ หลูซินหมิน (盧欣民) ก่อตั้งวง “Trio” (ภาพจาก หลี่อวี้หลุน) |
หลี่อวี้หลุน กับความประทับใจที่มีต่อ
ความมุ่งมั่นของบิดา
หลี่เจินจี๋ทุ่มเทให้กับงานเพลงผิวปากมานานหลายปี และตอนนี้ลูกชายของเขา หลี่อวี้หลุน (李育倫) พร้อมที่จะสืบทอดและรับช่วงต่อจากเขา และเมื่อครั้งที่ลูกชายและลูกสาวทั้งสองของเขายังเล็ก หลี่เจินจี๋มักจะผิวปากให้พวกเขาฟังอยู่บ่อยๆ ตัวหลี่อวี้หลุนในวัยเด็กก็ชอบที่จะทำปากเลียนแบบพ่อของเขา จนกระทั่งอายุได้ 4 ขวบ เขาก็สามารถผิวปากออกมาเป็นเสียงได้เป็นครั้งแรก สร้างความดีใจให้กับพ่อของเขาเป็นอย่างยิ่ง เมื่ออายุได้ 7 ขวบ หลี่อวี้หลุนได้ร่วมแสดงเพลง "กุ้ยเหอต้าเฉียว (桂河大橋)" (สะพานข้ามแม่น้ำแคว) กับพ่อของเขาบนเวทีเป็นครั้งแรก โดยที่ไม่ได้ตระเตรียมและฝึกซ้อมมาก่อน เสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทำให้หลี่อวี้หลุนเข้าใจผิดคิดไปว่าการผิวปากได้เป็นความสามารถที่เยี่ยมยอด
เมื่อหลี่อวี้หลุนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา เขาบอกกับใครๆ ว่าเขาเคยขึ้นแสดงบนเวทีมาแล้ว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำเยาะเย้ยแบบเด็กๆ ว่า "แบบนี้เรียกว่าเป็นศิลปะไม่ได้หรอก" และนับแต่นั้นมาหลี่อวี้หลุนจะไม่ยอมผิวปากต่อหน้าผู้คนอีกเลย
สองพ่อลูกคู่ดูโอ หลี่เจินจี๋และหลี่อวี้หลุนพลิกรูปแบบการผิวปากจากแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย และทุ่มเทให้กับการเผยแพร่ด้านการศึกษาเพลงผิวปาก ของไต้หวันอย่างเต็มตัว |
วันหนึ่ง ขณะที่หลี่เจินจี๋ฝึกซ้อมเพลง "หยางหมิงชุนเสี่ยว" ในระหว่างขับรถ จู่ๆ หลี่อวี้หลุนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็ประสานเสียงขึ้นพร้อมกับพ่อของเขา ร่วมบรรเลงเป็นบทเพลงประสานเสียงที่มีท่วงทำนองอันไพเราะ รวมทั้งเกิดกลเม็ดและเทคนิคต่างๆ เพิ่มขึ้น จนพ่อของเขาถึงกับกล่าวขึ้นด้วยความยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่งว่า "พ่อยังฝึกได้ไม่ดีเท่าไร แต่เจ้ากลับฝึกสำเร็จแล้ว" หลี่เจินจี๋จึงชวนลูกชายร่วมกันเปิดการแสดงประสานเสียงคู่ดูโอพ่อลูกบนเวทีเดียวกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก
ทั้งคู่ยังร่วมกันบรรเลงบทเพลงที่ได้รับความนิยมหลายต่อหลายเพลง การแสดงชุด "The Whistler and His Dog" ซึ่งเป็นเพลงที่มีชื่อเสียงระดับโลก จากกิริยาท่าทางและการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูตลกขบขันของเขาทั้งสองคน ตลอดจนลักษณะของการโต้ตอบไปมา เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีได้ตลอดเวลา ฝีมือการแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ของคนทั้งคู่สร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังอย่างมากจนยากจะลืมเลือนภาพของพ่อลูกคู่นี้
ความเข้าใจและรู้ใจกันระหว่างพ่อกับลูก เห็นได้จากทั้งบนเวทีและนอกเวที ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงผิวปากของหลี่เจินจี๋ ลูกชายอย่างหลี่อวี้หลุนก็ทราบได้ทันทีว่าพ่อของเขาอยู่ในอารมณ์แบบใด ซึ่งก็คือคุณสมบัติของคู่หูที่ดีนั่นเอง
หลี่เจินจี๋เปรียบเสมือนเป็นบุคคลสำคัญของวงการเพลงผิวปาก และมีผู้สืบทอดที่มีความสามารถมากที่สุดก็คือหลี่อวี้หลุน หลี่อวี้หลุนเป็นสมาชิกของวงประสานเสียงตั้งแต่ยังเล็ก มีความเข้าใจและสันทัดในทฤษฎีดนตรีเป็นอย่างดี ตลอดจนเป็นผู้ที่มีความชำนาญในการประยุกต์ใช้เพลงผิวปากได้อย่างเชี่ยวชาญ เขาไม่เพียงสามารถผิวปากเพลงจีนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถผิวปากทำนองดนตรีแบบตะวันตกได้อีกด้วย ทั้งเพลงคลาสสิก เพลงแจ๊ส และเพลงฮิตยอดนิยมอื่นๆ นอกจากนี้ เขายังสามารถบอกเล่าและแบ่งปันประสบการณ์ถึงแนวคิดของเพลงผิวปากได้อย่างน่าฟัง อันเป็นการถ่ายทอดให้เห็นว่าเสียงที่เกิดจากร่างกายมนุษย์คือเสียงที่เป็นธรรมชาติ ลึกซึ้งและกินใจมากที่สุด
เสียงผิวปากในช่วงท้ายของเพลงโฆษณาของแมคโดนัลด์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสนุกสนานไม่สิ้นสุด หรือเสียงผิวปากที่ปรากฏในเพลงประกอบภาพยนตร์ "The Village of No Return" ถือเป็นผลงานของหลี่อวี้หลุนทั้งสิ้น นอกจากนี้ เขายังออกอัลบั้มเพลงผิวปากที่ชื่อว่า "Make Me A Channel" ในสไตล์แจ๊ส โดยร่วมกับเพื่อนที่ชื่นชอบดนตรีก่อตั้งวง "Trio" ขึ้นอีกด้วย
ซูเจาซิง (ขวา) ผู้ที่ได้รับฉายาว่า “เทพบุตรกีตาร์แห่งตะวันออก” คือผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันเพลงผิวปากของหลี่เจินจี๋ (ภาพจาก หลี่เจินจี๋) |
เรามักจะเห็นภาพของหลี่อวี้หลุนปรากฏอยู่ในแวดวงการศึกษาเสมอ เขาร่วมกับสำนักพิมพ์จัดทำหนังสือเกี่ยวกับการผิวปาก โดยเน้นให้มีเนื้อหาที่เข้าใจง่ายควบคู่กับการใช้ภาพประกอบ นับเป็นคู่มือที่ช่วยให้ครูสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้ทันที ขณะเดียวกัน เขายังช่วยฝึกสอนให้นักผิวปากที่เข้าร่วมการแข่งขันผิวปากระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันอีกด้วย
ครอบครัวและเพื่อนคือ
ผู้อยู่เบื้องหลังแห่งความสำเร็จ
หลี่เจินจี๋คลุกคลีอยู่กับเพลงผิวปากมาทั้งชีวิต นอกจากพ่อและพี่ชายของเขาที่เป็นผู้จุดประกายความฝันให้กับเขาแล้ว คุณซูเจาซิง (蘇昭興) ผู้ที่ได้รับฉายาว่า "เทพบุตรกีตาร์แห่งตะวันออก" นับเป็นอีกบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังและผลักดันเขาในเรื่องของดนตรี
หลี่เจินจี๋รู้จักกับซูเจาซิงตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาที่เมืองผิงตง เนื่องจากทั้งคู่ชอบวาดภาพเหมือนกัน หลังจบการศึกษาแล้วยังคงติดต่อกันอยู่ ซูเจาซิงมักจะเชิญหลี่เจินจี๋มาแสดงฝีมือเพลงผิวปากในการแสดงโชว์เล่นกีตาร์ของเขาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ผู้คนค่อยๆ รู้จักกับศิลปะดนตรีแบบเพลงผิวปากมากขึ้น
หลี่เจินจี๋มักได้รับเชิญให้ไปเปิดการแสดงในงานเทศกาลดนตรีที่ต่าง ประเทศ เพื่อให้โลกได้รู้จักไต้หวันมากขึ้น (ภาพจาก หลี่เจินจี๋) |
คู่หูด้านดนตรีที่เปรียบเสมือนเป็นทั้งครูและเพื่อนของหลี่เจินจี๋อีกสองคนคือ ฟั่นอวี่เหวิน (范宇文) และ เฉิงหมิง
(成明) ซึ่งโดยปกติ หลี่เจินจี๋มักจะเดินทางไปร่วมกิจกรรมของกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลในต่างประเทศพร้อมกับสองท่านนี้บ่อยๆ เขาตอบรับคำเชิญของเฉิงหมิงเพื่อเปิดการแสดงที่ National Concert Hall ทำให้รูปแบบการแสดงของคณะนักร้องประสานเสียงมีความหลากหลายมากขึ้น และยังเป็นการเปิดตัวบทเพลงผิวปากบนเวทีระดับชาติเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็ได้รับเชิญให้ไปเปิดการแสดงทั้งจากในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
เขาเคยเดินทางไปเปิดการแสดงในหลายประเทศ เช่น ลิทัวเนีย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา ซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน แอฟริกาใต้ มอริเชียส ฝรั่งเศส เบลเยียม ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น เมื่อชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น วาทยากรผู้ควบคุมวงเซี่ยงไฮ้ซิมโฟนีออร์เคสตราของจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ได้ทาบทามเพื่อขอให้เขาร่วมบันทึกทำอัลบั้มเพลงผิวปากอัลบั้มแรกที่เป็นของชาวจีน
สองพ่อลูกคู่ดูโอ หลี่เจินจี๋และหลี่อวี้หลุน ได้ร่วมกันสร้างเวทีให้กับเพลงผิวปากไต้หวัน ทั้งการปลูกฝังให้หยั่งรากลึกและการเผยแพร่สู่ภายนอก แบ่งปันเทคนิคเพลงผิวปากอย่างไม่ปิดบัง และก่อตั้งแฟนเพจ ìเพลงผิวปากî ขึ้นด้วย โดยคาดหวังว่าจะก่อตั้งสมาคมเพลงผิวปากขึ้นได้ในอนาคต และชักชวนผู้ที่ชื่นชอบเพลงผิวปากได้มาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เพื่อที่จะพลิกรูปแบบการผิวปากจากแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย และมอบชีวิตในรูปแบบใหม่ที่เพลิดเพลินใจให้กับเพลงผิวปาก