ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ส่องสว่างไต้หวัน โจวเล’่ยน เล่นกับแสง (ไฟ) ด้วยหัวใจศ‘ลป‘น
แหล่งที่มาของข้อมูล Taiwan Panorama
2018-10-15

ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟภายในพิพิธภัณฑ์ฉีเหม่ยที่เป็นฝีมือการ ออกแบบของตนเอง โจวเลี่ยน ปรมาจารย์นักออกแบบแสงระดับ นานาชาติใช้ปรัชญาชีวิตมาตามหาร่องรอยของแสง

ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟภายในพิพิธภัณฑ์ฉีเหม่ยที่เป็นฝีมือการ ออกแบบของตนเอง โจวเลี่ยน ปรมาจารย์นักออกแบบแสงระดับ นานาชาติใช้ปรัชญาชีวิตมาตามหาร่องรอยของแสง

 

หากจะนับผลงานการออกแบบแสงหรือไลท์ติ้งดีไซน์ (Lighting Design) ที่นำเสนอผ่านสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นไฮไลท์ของแต่ละประเทศที่คุณโจวเลี่ยน (周鍊) ศิลปินนักออกแบบแสง (Lighting Designer) ระดับปรมาจารย์ฝากผลงานชิ้นเอกเอาไว้ จะพบว่ามีอยู่ทั่วทุกมุมโลก อาทิ เทพีสันติภาพในสหรัฐอเมริกา อาคารหอคอยคู่เปโตรนาสของมาเลเซีย หรือในไต้หวัน ได้แก่ ประตูเมืองโบราณเหิงชุน (恆春古城) ศาลเจ้าฟงเสิน (風神廟) นครไถหนาน พิพิธภัณฑ์ฉีเหม่ย (奇美博物館) และศาลเจ้าเฉาเทียน (朝天宮) ที่เป่ยกั่ง เมืองหยุนหลิน

 

ส่องสว่างไต้หวัน โจวเล’่ยน เล่นกับแสง (ไฟ) ด้วยหัวใจศ‘ลป‘น

ในสายตาของบุคคลภายนอกแล้ว บ้านพักของคุณโจวเลี่ยนตกแต่งแสนจะธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่าภายในแฝงไว้ด้วยความมหัศจรรย์  แค่เขาเลื่อนปุ่มสวิทช์ไฟเบาๆ เพียงชั่วครู่แสงไฟสีอ่อนนวลตาจากหลอดไฟดวงเล็กๆ เหนือเคาน์เตอร์ทำอาหารกลางห้องครัวหลายดวงก็ค่อยๆ สว่างขึ้น ตามมาด้วยโคมไฟทรงกลมเหนือโต๊ะอาหารก็สว่างขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน สะกดสายตา อารมณ์และความรู้สึกของผู้คนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องอื่นให้หยุดนิ่งลงชั่วขณะ คุณโจวเลี่ยนถามว่า ìคุณดูซิ สวยไหมî แล้วยังเล่าต่อว่า ในช่วงกลางคืนเขาชอบหรี่แสงไฟให้นุ่มลงและดื่มด่ำอยู่กับความนวลนุ่มของแสงไฟตามลำพัง

เสียงพึมพำแสดงถึงความชื่นชมของแขกที่มาเยือน ทำให้ใบหน้าของคุณโจวเลี่ยนมีรอยยิ้มบางๆ แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองปรากฏขึ้นชั่วครู่พร้อมแววตาที่แสดงความภาคภูมิใจในตนเอง ตามมาด้วยการโชว์ผลงานการออกแบบดวงไฟทุกจุดภายในบ้านอย่างกระตือรือร้น

รู้สึกได้ถึงตัวตนของแสง

ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟภายในพิพิธภัณฑ์ฉีเหม่ยที่เป็นฝีมือการ ออกแบบของตนเอง โจวเลี่ยน ปรมาจารย์นักออกแบบแสงระดับ นานาชาติใช้ปรัชญาชีวิตมาตามหาร่องรอยของแสงยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟภายในพิพิธภัณฑ์ฉีเหม่ยที่เป็นฝีมือการ ออกแบบของตนเอง โจวเลี่ยน ปรมาจารย์นักออกแบบแสงระดับ นานาชาติใช้ปรัชญาชีวิตมาตามหาร่องรอยของแสง

ระหว่างการสัมภาษณ์ คุณโจวเลี่ยนซึ่งปัจจุบันอายุ 74  ปี ไม่ได้เอ่ยถึงศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อนและยากจะเข้าใจ แต่ใช้คำสั้นๆ เพียงคำเดียวก็คือ "ความเข้าใจ" มาอธิบาย เขาบอกว่า ความเป็นตัวตนของแสง ไม่ใช่เพียงแค่การใช้ศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวกับแสง อาทิ จำนวนวัตต์  ฟลักซ์แห่งการส่องสว่าง (luminous flux) หรืออุณหภูมิสี (Colour temperature) มาอธิบายเท่านั้น

ประสบการณ์แสนพิเศษที่เราได้รับในครั้งนี้ น่าจะมาจากการที่คุณโจวเลี่ยนมีภูมิหลังเกี่ยวกับศิลปะและการออกแบบ (Art & Design) นั่นเอง คุณโจวเลี่ยนเป็นบุตรคนที่ 3 ของครอบครัว หากเทียบกับพี่สาวที่เรียนเก่ง  สอบเข้าเรียนต่อในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศมาโดยตลอด ซึ่งรวมถึงศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน แต่คุณโจวเลี่ยนเรียนไม่ดีตั้งแต่เด็ก  ในช่วงที่เรียนชั้นมัธยมต้นจนถึงมัธยมปลาย หนังสือเรียนของเขาถูกนำมาระบายสีและวาดภาพต่างๆ เต็มไปหมด มารดากลุ้มใจเรื่องการเรียนของลูกชายคนนี้มาก แต่บิดากลับมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ พูดกับมารดาของเขาด้วยสำเนียงภาษาถิ่นของเมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียงว่า "เธอไม่ต้องกังวลหรอก เจ้าลูกคนนี้  จิตวิญญาณยังไม่นิ่ง"

นอกจากสร้างชื่อเสียงโด่งดังในต่างประเทศ ความสามารถพิเศษอีกอย่างคือ วาดภาพแบบกลับหัวได้ อย่างคล่องแคล่วนอกจากสร้างชื่อเสียงโด่งดังในต่างประเทศ ความสามารถพิเศษอีกอย่างคือ วาดภาพแบบกลับหัวได้ อย่างคล่องแคล่ว

คงเป็นเพราะเติบโตมาในครอบครัวที่ให้อิสระและมีทัศนคติที่เปิดกว้าง โจวเลี่ยนจึงไม่ผูกมัดตัวเองไว้กับค่านิยมเก่าแก่ของสังคม  50 ปีที่แล้ว เขาเข้าศึกษาในวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติ (ปัจจุบันคือ National Taiwan  University of Arts) คณะวิจิตรศิลป์ สาขาวิชาประติมากรรม ปีค.ศ.1970 เดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยนอกจากศึกษาในสาขาวิชาประติมากรรมแล้ว ยังศึกษาด้านภาพยนตร์เพิ่มเติมด้วย จากนั้นยังเข้าศึกษาต่อใน Pratt Institute สาขาการออกแบบสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการเลือกเรียนวิชาที่ตนเองสนใจ เฉกเช่น "การทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ให้เกิดประโยชน์" และได้กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งที่ทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการออกแบบแสงได้อย่างราบรื่นในเวลาต่อมา

คุณโจวเลี่ยนเล่าว่า "ประติมากรรมทำให้ผมสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างไร้ความกังวล ภาพยนตร์สอนให้ผมรู้จักสื่อสารกับผู้คน การออกแบบตามความต้องการของผู้ประกอบการ เป็นการฝึกฝนให้สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ" เพราะเข้าใจศิลปะอย่างถ่องแท้ บวกกับยอมรับสภาพความเป็นจริง ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงในวงการออกแบบแสง

ปีค.ศ.1978 คุณโจวเลี่ยนเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา
เป็นครั้งที่ 2  ในช่วงปิดซัมเมอร์เขารับคำเชิญของเพื่อนเดินทางไปฝึกงานที่บริษัท BPI ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการออกแบบแสงของสหรัฐอเมริกา แค่วันแรกที่เข้าไปฝึกงานเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของ BPI ก็เห็นแวว เอ่ยปากชวนให้เข้าทำงานประจำโดยให้เงินเดือนสูงกว่าพนักงานประจำของบริษัทคนอื่นๆ  ในขณะนั้น ภาพที่ใช้ประกอบรายงานการประชุมของผู้จัดการโครงการต่างๆ ในบริษัท BPI เป็นฝีมือของคุณโจวเลี่ยนทั้งหมด ด้วยความสามารถที่โดดเด่น ภายในเวลาเพียง 4 ปี คุณโจวเลี่ยนได้เลื่อนขั้นจากพนักงานหน้าใหม่กลายเป็นหัวหน้าแผนกออกแบบ (Design director) และต่อมาเลื่อนฐานะขึ้นเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัท จากนั้นก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานบริษัทในที่สุด

ยึดมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง ขานรับสิ่งแวดล้อม

เพียงแค่ยื่นมือออกไปก็สัมผัสได้ แต่บางคราก็เลือนหายไปราวกับภาพหลอน โจวเลี่ยนเชื่อมั่นว่า หากเข้าใจแสงก็จะเข้าถึงความเป็นตัวตนของแสง ได้ไม่ยากเพียงแค่ยื่นมือออกไปก็สัมผัสได้ แต่บางคราก็เลือนหายไปราวกับภาพหลอน โจวเลี่ยนเชื่อมั่นว่า หากเข้าใจแสงก็จะเข้าถึงความเป็นตัวตนของแสง ได้ไม่ยาก

ในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากนั่งแท่นผู้บริหาร BPI คุณโจวเลี่ยนจึงมักปรากฏตัวในเวทีระดับนานาชาติ แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เขาได้รับเชิญให้มาช่วยออกแบบแสงไฟให้ศาลเจ้าฟงเสินที่นครไถหนาน และประตูเมืองโบราณเหิงชุน เมืองผิงตง จึงมีโอกาสอยู่ในไต้หวันนานขึ้น ชื่อของเขาจึงปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นตามไปด้วย

หลังมีการออกแบบ ติดตั้งและจัดแสงไฟใหม่ ศาลเจ้าและประตูเมืองเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีเผยโฉมใหม่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเทคนิคการจัดแสงของคุณโจวเลี่ยนมีเพียง "ลดแสง" ด้วยการปรับให้นุ่มนวลขึ้นเท่านั้น แต่คุณโจวเลี่ยนรีบปฏิเสธว่า ไม่ใช่  ในสายตาของเขา การออกแบบแสงไฟไม่มีหลักการหรือข้อจำกัดที่แน่นอนตายตัว การออกแบบแสงที่ศาลเจ้าฟงเสินและประตูเมืองโบราณเหิงชุนใช้วิธี "ลดแสง" แต่ในการออกแบบครั้งต่อไปเขาอาจไม่ใช้วิธีนี้เลย

ลองเปลี่ยนไปดูการออกแบบแสงไฟที่ศาลเจ้าเฉาเทียน ที่เป่ยกั่งบ้าง เป็นจริงดั่งที่เขาพูด คุณโจวเลี่ยนถามขึ้นว่า "สว่างไหม สว่างไหมล่ะ" เขาและทีมออกแบบใช้หลอด LED 4000K เกือบ 300 ดวง ติดตั้งไว้รอบศาลเจ้าทั้งสี่มุม ที่ผ่านมา ในยามกลางคืนยอดหลังคาศาลเจ้าที่มีศิลปะปูนปั้นสวยงามมากมายจะถูกความมืดในยามราตรีบดบังจนสิ้น หลังมีการปรับปรุงและจัดแสงไฟใหม่ ศาสนิกชนสามารถมองจากฝั่งตลาด หรือเงยหน้าขึ้นมอง หรือยืนอยู่บนที่สูงแล้วมองลงมาด้านล่าง จะเห็นศิลปะปูนปั้นที่สวยงามบนยอดหลังคาได้อย่างชัดเจน ศาลเจ้าเฉาเทียนที่เก่าแก่กว่า 300 ปี เพิ่มความโดดเด่นและเป็นสามมิติมากขึ้น

คุณโจวเลี่ยนเล่นกับแสง (ไฟ) อย่างมีความสุข ด้วยความเชี่ยวชาญช่ำชอง อิสระเสรีและไร้ข้อจำกัด แต่ทุกผลงานการออกแบบที่เขาฝากฝีมือไว้ ไม่เคยหลุดจากอุดมการณ์แรกเริ่มซึ่งก็คือ "ยึดมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง ขานรับสิ่งแวดล้อม" เขาเผยว่า ผู้คนจำนวนมากมองว่าการออกแบบแสงไฟหมายถึงเทคนิคการส่องสว่างเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า หากใครสามารถเข้าถึงแสงจะรู้ว่าภายในมีความอบอุ่นที่ช่วยเติมแต่งความมีชีวิตชีวาให้แก่มวลมนุษย์ได้ เขายังเล่าถึงช่วงวัยเด็ก ในยามค่ำคืนที่พายุกำลังพัดกระหน่ำ เขาจุดเทียนไขขึ้นแล้วเล่นกับเงาใต้แสงเทียน เงาของมารดาเดี๋ยวก็ใหญ่ขึ้นเดี๋ยวก็เล็กลง แสงเทียนกับเงาของมารดาในครั้งนั้นตราตรึงอยู่ในความทรงจำและประทับลงไปในใจของเขาตราบจนถึงทุกวันนี้  "แสงไม่ได้เป็นเพียงแค่แสง แต่มันคือความทรงจำในอดีต" และนี่คือ "ความรู้สึกที่มีต่อแสง" ของคุณโจวเลี่ยน

เพียงแค่ยื่นมือออกไปก็สัมผัสได้ แต่บางคราก็เลือนหายไปราวกับภาพหลอน โจวเลี่ยนเชื่อมั่นว่า หากเข้าใจแสงก็จะเข้าถึงความเป็นตัวตนของแสง ได้ไม่ยากเพียงแค่ยื่นมือออกไปก็สัมผัสได้ แต่บางคราก็เลือนหายไปราวกับภาพหลอน โจวเลี่ยนเชื่อมั่นว่า หากเข้าใจแสงก็จะเข้าถึงความเป็นตัวตนของแสง ได้ไม่ยาก

สำหรับการออกแบบแสงไฟให้แก่ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ฉี
เหม่ยและห้องจัดแสดงภายในนั้น คุณโจวเลี่ยนยังคงยึดอุดมการณ์เดิม หลังรับงานออกแบบชิ้นนี้มาแล้ว เขาเฝ้าครุ่นคิดว่าจะนำเสนอส่วนที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมนี้ได้อย่างไร แต่ความหมายของคำว่า ìดีที่สุดî คืออะไร เขาบอกว่า "ไม่ใช่เพียงแค่ใช้แสงไฟมาเติมแต่งให้สถาปัตยกรรมแห่งนี้สวยงามขึ้นเท่านั้น แต่จะต้องออกแบบให้สถาปัตยกรรมสามารถสะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และสังคมด้วย" ด้วยเหตุนี้เอง "ความภาคภูมิใจของชาวไถหนาน" จึงถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งในผลงานการออกแบบของคุณโจวเลี่ยน หวังว่าชาวไถหนานที่ขับรถผ่านถนนไฮเวย์สายตะวันออกหมายเลข 86 ในยามค่ำคืนเมื่อมองเห็นพิพิธภัณฑ์ฉีเหม่ยในระยะไกลจะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ

เมื่อครั้งที่คุณโจวเลี่ยนรับหน้าที่ออกแบบเพื่อแปลงโฉมให้แก่ประตูเมืองโบราณเหิงชุนก็เช่นกัน มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาเป็นชุดๆ อาทิ "ประตูเมืองยังเป็นประตูเมืองอยู่อีกหรือ" "ประตูเมืองมีไว้เพื่อป้องกัน ประตูมีไว้ปิดกั้นหรือต้อนรับ" "ประตูเมืองเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวเมืองอย่างใกล้ชิด" "สถาปัตยกรรมก็มีจิตวิญญาณของมันเอง" ดังนั้นคุณโจวเลี่ยนจึงเลือกออกแบบในแนวสุขุมลุ่มลึกและลดความร้อนแรงของแสงไฟลง

เขาเริ่มจากการติดตั้งหลอดไฟจำนวนหนึ่งที่อุโมงค์ใต้ประตูเมือง ซึ่งตัดกับความมืดของลานกว้างด้านนอก เป็นลูกเล่นที่ตั้งใจให้เกิดความแตกต่างอย่างเด่นชัดของความสว่างจากด้านในและความมืดภายนอก อีกทั้งทำให้คนที่เดินผ่านทางเดินใต้ประตูเมือง มีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับมาถึงบ้านของตนเอง  คุณโจวเลี่ยนยังออกแบบให้แสงไฟที่ประตูเมืองโบราณอายุร้อยปีแห่งนี้ ค่อยๆ สลัวลงจนดับสนิท เมื่อเวลาล่วงเข้ายามดึกสงัดเหลือเพียงแสงจากหลอดไฟไม่กี่ดวงที่ส่องไปยัง ตัวอักษรคำว่า "ประตูทิศตะวันตก" บนกำแพงประตูเมืองเท่านั้น

ปรัชญาการออกแบบแสงไฟของคุณโจวเลี่ยนคือ "เริ่มจากการเข้าถึงแสงไฟ ยึดมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง ขานรับสิ่งแวดล้อม" สะท้อนถึง "แนวคิดแบบองค์รวม" และจากพิมพ์เขียวที่เขาวาดขึ้นมา ก็สามารถเข้าใจถึงปรัชญาดังกล่าวได้ สมุดบันทึกที่เดิมหันหน้าเข้าหาตัวเขา แต่ถูกคุณโจวเลี่ยนหมุนไป 180 องศา ให้หันไปในทิศตรงข้ามกับตัวเขา จากนั้นหยิบดินสอขึ้นมาวาดประตูเมืองแบบกลับหัวอย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งทำเครื่องหมายระบุจำนวนวัตต์ของหลอดไฟที่ต้องการติดตั้งตามอิฐ ต้นหญ้า หรือบริเวณรอบๆ เพราะหลอดไฟทุกดวงล้วนมีผลต่อภาพรวม เคยมีคนถามเขาว่าทำไมไม่ใช้คอมพิวเตอร์คำนวณ เขาตอบว่า "แสงจากสภาพแวดล้อมในสถานที่ที่จัดแสดง ไม่อาจใช้คอมพิวเตอร์คำนวณออกมาได้"

“ยึดมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง ขานรับสิ่งแวดล้อม” โจวเลี่ยนใช้แสงไฟส่องสว่างประตูเมืองโบราณเหิงชุน (ภาพจาก Coretronic Culture and Arts Foundation)“ยึดมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง ขานรับสิ่งแวดล้อม” โจวเลี่ยนใช้แสงไฟส่องสว่างประตูเมืองโบราณเหิงชุน (ภาพจาก Coretronic Culture and Arts Foundation)

ผลงานการออกแบบของคุณโจวเลี่ยนพบเห็นได้ตั้งแต่ภาคใต้ขึ้นมาถึงภาคเหนือของไต้หวัน  จากผิงตง ไถหนาน หยุนหลิน ไล่ขึ้นมาจนถึงไทเป ที่วงเวียนรอบประตูเมืองทิศเหนือและย่านการค้าฝั่งตะวันตกของกรุงไทเป รวมถึงงานมหกรรมพืชสวนโลก 2018 ที่นครไทจง มีคนกล่าวไว้ว่า นักออกแบบแสงรุ่นใหม่ของไต้หวันล้วนได้รับอิทธิพลจากคุณโจวเลี่ยนทั้งสิ้น หลังก้าวลงจากตำแหน่งประธานบริษัท BPI ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการรับออกแบบแสงของอเมริกาแล้ว แทนที่จะพักผ่อนเช่นเดียวกับคนในวัยเกษียณทั่วไป แต่เขากลับเดินทางมาไต้หวันบ่อยขึ้นเพื่อเปิดคอร์สสอนการออกแบบแสง รวมถึงร่วมงานสัมมนาต่างๆ โดยหวังจะนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการออกแบบแสงของเขาอุทิศให้แก่คนไต้หวันรุ่นใหม่

ระหว่างที่ฟังคุณโจวเลี่ยนพูดถึงเรื่อง "แสง" บางครั้งมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่อง "ธรรม" ผมบนศีรษะที่เป็นสีเทาขาวบ่งบอกถึงวัยวุฒิ ในช่วงวัยรุ่นหนังสือที่คุณโจวเลี่ยนชอบอ่าน ได้แก่  "เต้าเต๋อจิง" 《道德經》ซึ่งเป็นคัมภีร์ของเล่าจื๊อ  "ตำราพิชัยสงครามของซุนจื่อ" 《孫子兵法》และ The Book of Five Rings ของมิยาโมโตะ มุซาชิ (Miyamoto Musashi) สุดยอดนักดาบผู้สร้างตำนานไร้พ่ายของญี่ปุ่น เป็นต้น แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่เขายังไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงปรัชญาชีวิต วันเวลาที่ล่วงเลยไปทุกสิ่งทุกอย่างถูกหลอมรวมอยู่ในตัวของเขา และทำให้เขาได้เล่นกับแสง (ไฟ) ด้วยหัวใจของศิลปิน