ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
นโยบายมุ่งใต้ใหม่ทำให้นักศึกษาและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไต้หวันเพิ่มขึ้นกว่า 60%
2019-05-24

นโยบายมุ่งใต้ใหม่ทำให้นักศึกษาและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไต้หวันเพิ่มขึ้นกว่า 60%

นโยบายมุ่งใต้ใหม่ทำให้นักศึกษาและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไต้หวันเพิ่มขึ้นกว่า 60%

สำนักข่าว CNA วันที่ 23 พ.ค. 62

 

ผลสัมฤทธิ์ในการผลักดันนโยบายมุ่งใต้ใหม่บรรลุเป้าเกินคาด ในปี 2018 นักศึกษาต่างชาติและนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเป้าหมายที่เดินทางเยือนไต้หวัน เมื่อเทียบกับปี 2016 แล้ว มีการขยายตัวกว่าร้อยละ 60 นายเติ้งเจิ้นจง รมว.ประจำสภาบริหารแถลงว่า เป้าหมายอันดับต่อไปจะเร่งเสริมสร้างความร่วมมือทางการแพทย์และโครงการการลงทุนขนาดใหญ่


 

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 พ.ค. สำนักงานเจรจาการค้า สภาบริหารไต้หวันสาธารณรัฐจีน (Office of Trade Negotiations, Executive Yuan) ได้จัดประชุมรายงานผลสัมฤทธิ์จากการผลักดันนโยบายมุ่งใต้ใหม่ โดยสำนักงานเจรจาการค้าไต้หวันระบุว่า รัฐบาลไต้หวันได้เริ่มผลักดันนโยบายมุ่งใต้ใหม่ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา ซึ่งในปี 2018 มูลค่าการค้าระหว่างไต้หวันและกลุ่มประเทศเป้าหมาย มียอดรวมทั้งสิ้น 117,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปี 2016 และในปี 2018 มูลค่าเงินลงทุนจากประเทศกลุ่มเป้าหมายที่เดินทางมาลงทุนยังไต้หวัน ก็มียอดรวมทั้งสิ้น 391.54 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เมื่อเทียบกับปี 2016 ที่มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้นเพียง 235.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ


 

ในด้านนักศึกษาต่างชาติและนักท่องเที่ยว ในปี 2018 ไต้หวันมีนักศึกษาต่างชาติและนักศึกษาฝึกงานที่มาจากกลุ่มประเทศเป้าหมายรวม 32,318 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.8 เมื่อเทียบกับปี 2016 ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาจากกลุ่มประเทศเป้าหมายก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากประมาณ 910,000 คนในปี 2016 ขยับมาเป็น 1.44 ล้านคนในปี 2018 โดยขยายตัวกว่าร้อยละ 60


 

ช่วงเช้าวันเดียวกัน นายเติ้งเจิ้นจงแถลงว่า นโยบายมุ่งใต้ใหม่ได้รับการผลักดันมาจนถึงวันนี้ ทั้งความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การศึกษา การเกษตรต่างต่างดำเนินไปอย่างมีเสถียรภาพ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และคาดหวังว่าจะมีการพัฒนาความร่วมมือด้านการแพทย์ การสาธารณสุขและโครงการการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อไปในอนาคต


 

นายเติ้งเจิ้นจงยังชี้ว่า ในตอนแรกโครงการ 1 ประเทศ 1 ศูนย์การแพทย์ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะดำเนินการใน 6 ประเทศ แต่กระทรวงสาธารณสุขฯ ประเมินแล้วเห็นว่ามีผลการดำเนินการที่ดี จึงได้เพิ่มเมียนมาร์ขึ้นมาอีกหนึ่งประเทศ โดยมอบหมายให้โรงพยาบาลซินกวง (Shin Kong Hospital) รับหน้าที่เป็นผู้บริหารโครงการ เห็นได้ชัดว่าโครงการ 1 ประเทศ 1 ศูนย์การแพทย์ มีส่วนช่วยเหลือวงการแพทย์เป็นอย่างมาก โดยเห็นได้จากการที่ศูนย์วิจัยทางการแพทย์สามารถช่วยรวบรวมข้อมูลด้านกฎหมายทางการแพทย์ ข้อมูลการบริหารทางการแพทย์และยาของกลุ่มประเทศเป้าหมาย ซึ่งสามารถช่วยอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในการขยายตลาดและดึงดูดผู้ป่วยจากต่างประเทศให้มารับการรักษาที่ไต้หวันมากาขึ้น


 

สำหรับความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างไต้หวัน – เวียดนาม ในการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนระดับทวิภาคี นายเติ้งเจิ้นจงกล่าวว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีนักลงทุนไต้หวันเดินทางไปลงทุนเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นข้อตกลงว่าการคุ้มครองการลงทุนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยความคืบหน้าในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยเฉพาะขณะนี้ทางเวียดนามรับทราบแล้วว่า ข้อตกลงฉบับนี้จะสร้างประโยชน์ให้กับพวกเขาด้วย ในการดึงดูดนักลงทุนไต้หวัน ให้นำเงินไปลงทุนยังเวียดนามมากขึ้น


 

นายซูเจินชาง นายกรัฐมนตรีไต้หวันเห็นว่า นโยบายมุ่งใต้ใหม่ของไต้หวันได้ตอบสนองต่อโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของประเทศอาเซียน รวมถึงวิสัยทัศน์ระดับภูมิภาคของนานาประเทศในเวลาที่เหมาะสม ดังเช่นในกรณีของ “ยุทธศาสตร์อินโด – แปซิฟิก” ที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่นเป็นผู้เสนอขึ้น ซึ่งทำให้ไต้หวันมีโอกาสสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศเพิ่มมากขึ้น


 

นายซูเจินชางกล่าวปิดท้ายว่า ผลสัมฤทธิ์ของนโยบายมุ่งใต้ใหม่ ต่างได้สำแดงอำนาจละมุน (หรือที่เรียกว่า soft power) ออกมา ทั้งด้านการแพทย์ การเกษตร การท่องเที่ยว เทคโนโลยีและวัฒนธรรม การติดต่อเจรจาและปรับปรุงข้อตกลงการคุ้มครองการลงทุนระหว่างสองฝ่าย จะช่วยยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองที่สูงขึ้นให้กับนักลงทุนไต้หวัน และช่วยเอื้อประโยชน์ทางด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรให้กับธุรกิจไต้หวันอีกด้วยเช่นกัน