
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของ IMD ไต้หวันขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 16 ของโลก
สำนักข่าว CNA วันที่ 28 พ.ค. 62
สถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development, IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศผลดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกประจำปี 2019 โดยในปีนี้สิงคโปร์คว้าอันดับที่ 1 ของโลก แทนที่สหรัฐฯ ที่เคยครองอันดับนี้เมื่อปีที่แล้ว ส่วนไต้หวันอยู่ในอันดับที่ 16 ขยับสูงขึ้น1 อันดับจากปีที่แล้ว และครองอันดับที่ 4 ของความสามารถในการแข่งขันระดับภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก
จากรายงานดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกล่าสุดของสถาบัน IMD ที่ได้ทำการสำรวจและจัดอันดับ 63 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก ผลปรากฏว่า 3 อันดับแรกได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกงและสหรัฐฯ โดยในปี 2018 สหรัฐฯ ครองอันดับที่ 1 แต่ในปีนี้ถูกแทนที่ด้วยสิงคโปร์ ส่วนฮ่องกงยังคงรักษาอันดับที่ 2 ไว้เช่นเดิม
สำหรับไต้หวัน ปีนี้คะแนนรวมอยู่อันดับที่ 16 ขยับขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว โดยนับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ผลการจัดอันดับโดยรวมตลอด 5 ปี อยู่ในอันดับที่ 11, 14, 14, 17 และ 16 ตามลำดับ
ในส่วนของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก นอกจากสิงคโปร์และฮ่องกงที่คว้าอันดับ 1 และ 2 ไปครองตามลำดับแล้ว จีนถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลกซึ่งนับเป็นอันดับที่ 3 ในภูมิภาค ส่วนไต้หวันถูกจัดอยู่ในอยู่อันดับที่ 16 ของโลก ซึ่งนับเป็นอันดับที่ 4 ในภูมิภาค นำหน้า ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย ไทย เกาหลีและญี่ปุ่น
ทั้งนี้การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พิจารณาจาก 4 หมวด คือ “สมรรถนะทางเศรษฐกิจ” “ประสิทธิภาพของภาครัฐ” “ประสิทธิภาพของภาคธรุกิจ” และ “โครงสร้างพื้นฐาน”
ไต้หวันมีการพัฒนาที่ดีขึ้นในหมวด “ประสิทธิภาพของภาคธรุกิจ” ซึ่งขยับขึ้นจากอันดับที่ 20 มาเป็นอันดับที่14 โดยในหมวดนี้ยังมีดัชนีย่อยที่ได้รับการพัฒนามาอยู่ในอันดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการบริหารจัดการที่ก้าวกระโดดมาอยู่อันดับที่ 4 ของโลก นอกจากนี้ศักยภาพการผลิตและประสิทธิภาพ ตลาดแรงงาน การเงิน ทัศนคติและค่านิยม ต่างก็ได้รับการขยับอันดับด้วยเช่นกัน
หมวด “โครงสร้างพื้นฐาน” ขยับขึ้น 3 อันดับมาอยู่อันดับที่ 19 ซึ่งในหมวดนี้ ดัชนีย่อยที่มีการพัฒนาดีขึ้นได้แก่ โครงสร้างทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 8 โครงสร้างทางเทคโนโลยีขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 13 ในด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมก็มีการขยับอันดับสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ในส่วนของ “ประสิทธิภาพของภาครัฐ” ยังคงรักษาอันดับเดิม (อันดับที่ 12) หากแต่ดัชนีนโยบายภาษีอากรและสถานะการคลัง ตกลงมาอยู่อันดับที่ 5 และ 12 ตามลำดับ แต่โครงสร้างองค์กรและโครงสร้างสังคมมีการพัฒนาที่ดีขึ้นกว่าปีแล้ว ล้วนอยู่อันดับที่ 19 ของโลก
ในบรรดาดัชนีของทั้ง 4 หมวดดังกล่าว “สมรรถนะทางเศรษฐกิจ” อยู่ในอันดับที่ 15 ลดลง 1 อันดับจากอันดับที่ 14 ในปีที่แล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าดัชนีย่อยมีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง “การลงทุนระดับนานาชาติ” ขยับขึ้นจากอันดับที่ 41 มาอยู่อันดับที่ 28 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา “เศรษฐกิจภายในประเทศ” ก็ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 25 แต่ “ค่าครองชีพ” “การค้าระหว่างประเทศ” และ “การประกอบอาชีพ” ต่างมีอันดับที่ลดลง โดย “ค่าครองชีพ” และ “การประกอบอาชีพ” ลดลงมาเล็กน้อย อยูู่อันดับที่ 11 และ 25ตามลำดับ ส่วน “การค้าระหว่างประเทศ” ตกลงมาอยู่อันอันดับที่ 31 ของโลก นับเป็นสถิติที่แย่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา