พิพิธภัณฑ์ภาคใต้ผสานวัฒนธรรมเอเชียและวิจิตรศิลป์สร้างสรรค์ จัดตั้งศูนย์เด็กสร้างสรรค์
กระจกแปลงโฉมใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า หลังจากถ่ายรูปแล้ว เด็กๆ ไปดูที่กระจกอีกบานหนึ่งจะเห็นตนเองใส่ชุดโสร่งอินโดนีเซียอย่างไร |
หนุมานปรากฏกายกระโดดโลดเต้นอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วเอเชีย ในหนังตะลุงอินโดนีเซีย หนุมานมีมือที่เรียวยาว ดวงตาขมึงขึงขัง เป็นเทพวานรผู้พิทักษ์ตวัดหางว่องไว ไปที่เวียดนามจะเห็น “พญาวานรเครื่องลายครามลงยาด้วยหลากสี” แสยะยิ้ม มือถือแจกัน ที่เอวคาดดาบยาว ในโขนไทยซึ่งมีประวัติศาสตร์เกินกว่าสี่ร้อยปี ผู้เล่นบทหนุมานฟ้อนรำด้วยท่วงท่าเชื่องช้าสง่างาม สลับกับการการเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียว
หนุมานมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน นักวิชาการบอกว่า “ซุนหงอคง” ในวรรณกรรมเรื่อง “ไซอิ๋ว” ก็คือหนุมาน หรือแม้แต่ “โมโมทาโร่” ของญี่ปุ่นก็คือหนุมานเช่นกัน
คุณยังไม่รู้จักหนุมานอีกหรือ? รีบมาที่ศูนย์เด็กสร้างสรรค์ (หรือศูนย์เด็ก) ของพิพิธภัณฑ์ภาคใต้ ที่เวทีละครเอเชียกำลังแสดงเรื่องราวของหนุมาน
รู้จักผ้าบาติกของอินโดนีเซีย
ตัวต่อแจกัน 3 มิติ เกมที่ยากมาก ควรระดมความคิดเล่นด้วยกัน 2-3 คน |
หนุมานนำเสนอเรื่องราวในห้วงแห่งประวัติศาสตร์ บางทีเป็นตัวละคร บางทีเป็นโทเทม เมื่อปีที่แล้ว (ค.ศ.2018) ศูนย์เด็กจัดนิทรรศการสิ่งทออินโดนีเซีย นำเอาหนุมานเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์บาติกที่เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ (National Palace Museum) หรือกู้กง เพื่อให้เด็กๆ ได้รู้จักศิลปวัฒนธรรมของอินโดนีเซียที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยผสานรวมอยู่ในของเล่นเด็ก
จิ๊กซอว์ลวดลายบาติกแผ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปของวัตถุที่เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ “ผ้าคลุมไหล่บาติก ลายหนังตะลุง” เด็กๆ ต่อจิ๊กซอว์แผ่นนี้จะทำให้รู้จักลวดลายหนังตะลุงอินโดนีเซียที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ละชิ้นเรียงต่อเป็นตัวละครในมหากาพย์ “รามายณะ” หรือ “ภารตะ” และได้ชมลายบาติกที่สดใสแม้ผ่านเวลายาวนานสีสันก็ไม่จืดจาง
จิ๊กซอว์อีกแผ่นหนึ่งเป็นลายผ้าคลุมโต๊ะเซ่นไหว้ของชาวจีน ปกติผ้าคลุมโต๊ะในยุคก่อน ชาวจีนนิยมใช้ผ้าปักลาย ในยุคศตวรรษที่ 20 ชาวจีนในอินโดนีเซียหลอมรวมวัฒนธรรมท้องถิ่น หันมาใช้ผ้าบาติก แผ่นจิ๊กซอว์ที่ต่อกันเป็นรูป “ผ้าบาติกคลุมโต๊ะลายสิงโตพื้นแดง” เป็นการผสานวัฒนธรรมชาวจีนกับอินโดนีเซียเข้าด้วยกัน โทเทมลายสิงโตได้สะท้อนถึงความเชื่อในศาสนาพุทธที่ฝังลึกอยู่ในใจของผู้คน “สิงโตเป็นสัตว์พาหนะของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์” หวังเจี้ยนอวี่ (王健宇) ผู้ช่วยนักวิจัยซึ่งรับผิดชอบการจัดนิทรรศการของศูนย์เด็กบอกว่า “เป็นสัญลักษณ์พระธรรมกึกก้องขจรขจาย เหมือนการคำรามของสิงโต ปลุกประชาชนตื่นขึ้นในทันใด”
ศูนย์เด็กนำวัตถุสะสมของพิพิธภัณฑ์ภาคใต้ที่แฝงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและสุนทรียศาสตร์ผสานกับอุปกรณ์การสอน เด็กๆ จึงเรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน |
โทเทมของอินโดนีเซียมีความหลากหลาย เด็กๆ ทดลองใช้ดินสอเทียนวาดหรือใช้แม่พิมพ์ประทับลวดลายได้ เพื่อทำผ้าบาติกลายเอกลักษณ์ของตนเอง หรือจะนำแผ่นฝึกหัดระบายสีวางบนแผ่นเซ็นเซอร์ เพื่อเล่นอังกะลุงที่ควบคุมด้วยระบบสัมผัส หรือจะเล่นเกมปีนเสา เด็กๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติผ่านการละเล่น
หลังจากเด็กๆได้ต่อจิ๊กซอว์ประทับลายลองใส่ชุดบาติกเล่นเกมอินเตอร์แอคทีฟแล้วโทเทมผ้าบาติกซึ่งแฝงไว้ด้วยมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จะเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของพวกเขา
เดินไปที่เขตเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีการดำรงชีพของชาวเวียดนาม ซึ่งก็เหมือนกับโซนผลิตภัณฑ์สิ่งทอของอินโดนีเซีย เด็กๆ ทดลองใส่ชุด “อ๋าวหย่าย” เสื้อผ้าประจำชาติของเวียดนามได้ เดินไปที่ร้านบ๊ะจ่าง ร้านขนมปังร้านกลองหรือแผงปั้นแป้งจะรู้สึกเหมือนกับการเดินอยู่บนถนนวัฒนธรรมเวียดนาม
“แม่ หนูจะต้มบะหมี่ให้แม่ทาน” หวังเจี้ยนอวี่เลียนแบบคำพูดของเด็ก เขามักเห็นเด็กๆ แย่งกันเล่นบทบาทเป็นเถ้าแก่ร้านเฝอ (ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวแบบเวียดนาม) หยิบจวักใหญ่กวนน้ำซุปในหม้อ ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงไป ตามด้วยเนื้อ 1 แผ่น ชุดการสอนที่อยู่ในถุงผ้าเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มาก
หวังเจี้ยนอวี่ (王健宇) ผู้ช่วยนักวิจัยซึ่งรับผิดชอบการจัดนิทรรศการของศูนย์เด็ก |
นำเอาวัตถุสะสมของพิพิธภัณฑ์มาเล่นขายของกัน
ศูนย์เด็กมีความแตกต่างกับพิพิธภัณฑ์ ที่นี่ไม่มีป้ายห้ามจับต้อง เด็กๆ ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เรียนรู้วัตถุที่สะสมในพิพิธภัณฑ์ได้ มีการนำเอาของจำลองที่เลียนแบบของจริง เช่น จานลายครามช่อบัวดอกไม้ 4 ฤดู รัชสมัยหย่งเล่อราชวงศ์หมิง ขวดสุราลายนกกระเรียนของเกาหลี จานลายครามนกยูงลงยาหลากสีของเวียดนาม เป็นต้น เรียงเป็นแถวยาว ใครๆ ก็หยิบเครื่องลายครามที่คล้ายของจริงมากเหล่านี้มาเล่นขายของกันได้ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปกลิ่นอายศิลปะ
ในยุคราชวงศ์ชิงและหมิง เครื่องลายครามขาวน้ำเงินถือเป็นของทันสมัยในยุคนั้น อีกทั้งประเทศต่างๆ ในเอเชียผลิตเครื่องลายครามออกมาประชันขันแข่ง มีรูปโฉมการพัฒนาที่ต่างกัน แต่ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดจากสิ่งของที่เห็นอยู่ข้างหน้า เด็กๆ จะเห็นได้ว่าเครื่องลายครามจีนมีสีสดใสเป็นพิเศษ มีสีขาวที่บริสุทธิ์ และสีครามที่แท้จริง ต้นกำเนิดอยู่ที่จิ่งเต๋อเจิ้น (景德鎮) ซึ่งมีดินธรรมชาติคุณภาพดี สีสันสดใสคมเข้มกว่าเมื่อเทียบกับสีครามที่นำเข้ามาจากเปอร์เชียในรัชสมัยหย่งเล่อ
ไม่เพียงแต่ศิลปะเครื่องลายครามจีนที่มีความรุ่งเรือง ในยุคนั้นศิลปะลายครามของเกาหลีก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเช่นกัน เด็กๆ จะได้ลูบคลำสัมผัสแผ่นกระเบื้องที่ผลิตด้วยกรรมวิธีประดับลายของเกาหลี และได้เรียนรู้เทคนิคการเผาเครื่องลายครามทีละขั้นตอน
เด็กๆ อาจไม่เข้าใจขั้นตอนการเผา “พวกเราเพาะเมล็ดพันธุ์ไว้ ในอนาคตเขาก็จะรู้ว่าจะไปค้นคว้าต่อได้อย่างไร” หวังเจี้ยนอวี่บอก
ที่นี่ยังมีของเล่นที่แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ นั่นคือ ตัวต่อลายคราม 3 มิติ และยังมีชุดน้ำชาเซนฉะ (Sencha) แบบญี่ปุ่น ซึ่งประจวบกับพิพิธภัณฑ์ภาคใต้จัดนิทรรศการ “วัฒนธรรมชาเอเชีย–หอมฟุ้งกระจาย” จึงเปิดให้ทดลองทำได้ผู้ชมอาจแปลงกายเป็นช่างซ่อมเครื่องเคลือบดินเผาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งการชงชา
ใครๆ ก็อยากใส่ชุดอ๋าวหย่ายของเวียดนาม และทดลองปิ้งแผ่นข้าวเกรียบที่เลียนแบบคล้ายของจริงมาก |
จุดต่อไปคือประเทศไทย
ปัจจุบันที่ศูนย์เด็กมีการแบ่งเขตญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ในอนาคตจะขยายขอบเขตต่อไป ครอบคลุมทั่วเอเชีย สำหรับปี 2019 จัดตั้งโซนการศึกษาวัฒนธรรมไทยเริ่มจากการจัดแสดงเกี่ยวกับโขนประกอบกับวัตถุสะสมเกี่ยวกับไทยที่พิพิธภัณฑ์มีอยู่ใช้ประโยชน์เต็มที่เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างไร้ขอบเขต
“เป้าหมายการสอนไม่ได้คาดหวังให้ท่องจำ ฉันหวังว่าอย่างน้อยเด็กๆ จะจำได้ว่าเคยเห็นที่พิพิธภัณฑ์ แค่นี้ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายขั้นแรกแล้ว” หวังเจี้ยนอวี่บอกด้วยว่าศูนย์เด็กวางแผนการจัดนิทรรศการ 3 ขั้นตอนคือการได้สัมผัสรูปร่างศึกษาเรียนรู้จากนั้นจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์ดังนั้นจึงได้สร้างสภาพแวดล้อมกระตุ้นการเรียนรู้ที่เป็นไปตามพัฒนาการด้านความคิดของเด็กในแต่ละวัย
ตั้งแต่ปีค.ศ.2016 พิพิธภัณฑ์ภาคใต้ได้เสนอโครงการ “ท่องเที่ยว+ศิลปะ นักเรียนล้านคนมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ภาคใต้” ดึงดูดให้เด็กๆมาที่นี่มากขึ้นโดยเปิดให้จับต้องวัตถุที่จัดแสดงทดลองทำและมีส่วนร่วมเปลี่ยนแนวความคิดการตีกรอบปิดกั้นของพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้วัฒนธรรมเอเชียบ่มเพาะให้รักศิลปวัฒนธรรมเอเชีย
หวังเจี้ยนอวี่วางแผนแบ่งโซนจัดแสดงแยกเป็นประเทศ เมื่อเด็กๆ เข้าไปในเขตประเทศไทยก็ใส่ชุดไทย ได้แสดงโขน ได้ฟังดนตรีดั้งเดิมของไทย เข้าโซนญี่ปุ่นจะใส่ชุดญี่ปุ่น นั่งคุกเข่าบนเสื่อทาทามิ... “ความแตกต่างของแต่ละโซนจะชัดเจนมาก ทำให้ได้สัมผัสเรียนรู้วัฒนธรรมในเชิงลึก”
เด็กตัวเล็กๆ แต่ความฝันยิ่งใหญ่ ศูนย์เด็กได้ยึดถือหลักการของพิพิธภัณฑ์ภาคใต้ที่พยายาม “สร้างความสมดุลภาคเหนือและภาคใต้ของไต้หวัน” พิพิธภัณฑ์ภาคใต้ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเจียอี้ มุ่งหน้าไปสู่ทิศทาง 3 ประการ คือ “วางรากฐานศิลปะ” “เชื่อมโยงท้องถิ่น” และ “ส่งเสริมความหลากหลายของวัฒนธรรมเอเชีย” นำพาวัฒนธรรมเอเชียและวิจิตรศิลป์มาสร้างสรรค์ปลูกฝังเข้าไว้ในใจเด็กแต่ละคน