TAITRA วันที่ 6 กันยายน 62

สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกแห่งไต้หวัน (TAITRA) ได้พยายามเร่งขยายโอกาสทางการค้าสู่ตลาดประเทศตามนโยบายมุ่งใต้ใหม่อย่างเต็มที่ โดยในปีนี้ได้จัดคณะผู้แทนการค้าสินค้าชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์เดินทางเยือนอินโดนีเซียและประเทศไทย (Taiwan Automotive Electronics & Parts Industries Delegation to Thailand) ระหว่างวันที่ 1-7 กันยายนที่ผ่านมา และมีการจัดการเจราจาธุรกิจขึ้นที่กรุงจาร์กาตาร์และกรุงเทพมหานครฯ เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการของทั้งสามฝ่าย

โดยคณะได้เดินทางเยือนอินโดนีเซียระหว่างวันที่ 1 – 4 กันยายน ก่อนจะเดินทางเยือนประเทศไทย ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ระหว่างวันที่ 5 – 7 กันยายน เพื่อขยายตลาดให้กับสินค้าไต้หวันในตลาดของทั้งสองประเทศ

TAITRA ชี้ว่า ประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตรถกระบะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีโรงงานประกอบรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งสามารถผลิตได้ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะ โดยในปี 2018 สามารถผลิตรถยนต์ได้มากถึง 2.16 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 9 นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้วยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยก็มีจำนวนมากถึง 1.04 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2017 ร้อยละ 20

โดยเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา คณะไต้หวันได้ร่วมเจรจากับผู้ประกอบการในประเทศไทย ทั้ง Honda และ Somboon เพื่อหารือถึงโอกาสในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งในจำนวนนี้ สินค้าที่ได้รับความสนใจมากที่สุดได้แก่ กล้องติดรถยนต์รวมถึงเครื่องเสียงและอุปกรณ์วีดิทัศน์ โดยสาเหตุสำคัญคือสภาพการจราจรในท้องที่ซึ่งมีการติดขัดหนักมาก สินค้าเหล่านี้จะช่วยยกระดับคุณภาพการขับขี่ให้กับผู้ที่ขับรถยนต์อยู่บนท้องถนน และในวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา คณะผู้แทนก็ได้เข้าเยี่ยมพบบริษัท Fomm และ Somboon Group ซึ่งต่างก็ได้บรรยายให้เหล่าสมาชิกคณะได้รับทราบข้อมูลตลาดรถยนต์ของประเทศไทย พร้อมทั้งได้แนะนำให้ได้รู้จักกับผู้ประกอบการในท้องที่ ซึ่งมีโอกาสจะสร้างความร่วมมือร่วมกันได้ในอนาคต

ทั้งนี้ หัวหน้าคณะในการเดินทางครั้งนี้คือ Mr. James Wu, Vice President ของ Wieson Automotive Co.,Ltd. ชี้ว่า อุตสาหกรรมอีเล็กทรอนิกส์ของไต้หวันถือว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเวทีโลก ด้วยข้อได้เปรียบของทั้งด้านคุณภาพและราคาสินค้า ทั้งยังสามารถผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้าได้ การเดินทางมาขยายตลาดในประเทศอาเซียนในครั้งนี้ เพื่อสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีจำนวนประชากรสูง และมีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจากการที่อาเซียนมีประชากรเป็นจำนวนมาก อีกทั้งรถยนต์ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้งาน ประกอบกับเศรษฐกิจของอาเซียนกำลังอยู่ในภาวะสดใส อุตสาหกรรมรถยนต์มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าโอกาสทางการค้าในอนาคตเป็นอะไรที่น่าจับตามองจริงๆ