ในวันที่ 20 พ.ค. ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) สมัยที่ 15 หลังเสร็จสิ้นพิธีฯ จึงได้เดินทางไปยังอาคารรับรองอาคันตุกะ Taipei Guest House เพื่อกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ปธน. อันทรงเกียรติ ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 โดยเนื้อหาทั้งหมดของสุนทรพจน์ ปธน.ไช่อิงเหวิน มีดังนี้
เรียนท่านรองประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ท่านผู้มีเกียรติในงาน รวมไปถึงบรรดาพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่กำลังรับชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์หรือทางอินเทอร์เน็ตอยู่ ณ ขณะนี้ สวัสดีทุกท่านค่ะ
ในวันนี้ข้าพเจ้ายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ด้วยใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ต่อภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนชาวไต้หวันอีกครั้ง
พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ปธน.ในครั้งนี้เป็นครั้งที่พิเศษสุดในประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ความพิเศษไม่ได้อยู่ที่ขนาดของพิธีหรือจำนวนคนที่เข้าร่วม แต่อยู่ที่พวกเราต่างทราบดีว่า กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อประชาชนชาวไต้หวัน เป็นเพราะความร่วมแรงร่วมใจของทุกท่าน จึงทำให้เรื่องที่ไม่ง่ายดายเหล่านี้ เกิดขึ้นจริงในไต้หวัน
ข้าพเจ้ายังต้องขอขอบคุณบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ในช่วงเวลาแห่งการป้องกันโรคระบาดตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา พวกเขาได้รับการพูดถึงน้อยครั้งมาก ซึ่งก็คือ ประชาชนชาวไต้หวันที่เข้าแถวรอซื้อหน้ากากอนามัยที่หน้าร้านขายยา ในช่วงต้นของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ขอบคุณสำหรับความอดทน และความเชื่อมั่นที่พวกท่านมีต่อรัฐบาล พวกท่านทำให้โลกประจักษ์ว่า ภายใต้สภาวการณ์อันคับขันเช่นนี้ ไต้หวันยังคงสามารถรักษาไว้ซึ่งคุณธรรมอันดีงามได้เป็นอย่างดี
ข้าพเจ้ายังต้องขอขอบคุณผู้ที่ให้ความร่วมมือในการกักตัวอยู่ที่บ้าน เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์อาการตัวเองในช่วงที่ผ่านมา ขอบคุณที่พวกท่านอดทนกับความไม่สะดวกต่างๆ นานาในชีวิตประจำวัน เพื่อวัตถุประสงค์ในการปกป้องสุขภาพของมวลชน ขอบคุณพวกท่านมากที่แสดงออกถึงจิตสำนึกอันดีงาม ซึ่งได้ส่งผลให้ภารกิจการป้องกันโรคระบาดของไต้หวัน บังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดี
ความภาคภูมิใจของไต้หวัน การมีส่วนร่วมในการดำรงอยู่และสูญสิ้นไป ความทรงจำในช่วงเวลานี้จะตราตรึงอยู่ในใจของพวกเราทุกคนตลอดไป และจะสลักลึกในความทรงจำของพวกเราว่า ความสามัคคีที่แท้จริง เป็นเช่นนี้นี่เอง
พิธีในวันนี้ มีเอกอัครราชทูตและผู้แทนประเทศต่างๆ ประจำไต้หวันเดินทางมาเข้าร่วมด้วย ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ยังมีอีกหลายประเทศบนโลกใบนี้ที่มีความห่วงใยต่อไต้หวันด้วยใจจริง
ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสนี้กล่าวกับบรรดาอาคันตุกะทุกท่านว่า ประเทศที่ท่านมองเห็นอยู่นี้ มีประชาชนที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งความดีและความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงใด พวกเราก็ยังคงยึดมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ความสามัคคีอย่างพร้อมเพรียง และความรับผิดชอบที่มีร่วมกันในการต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค ก้าวข้ามทุกบททดสอบ เพื่อให้ไต้หวันตั้งมั่นและคงอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมั่นคงและเต็มภาคภูมิ
(2) โอกาสที่ดีที่สุดในการรับมือกับความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงขณะนี้ ไต้หวันได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับประชาคมโลกถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ครั้งแรกคือการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ครั้งที่ 2 คือผลสัมฤทธิ์ด้านการป้องกันโรคระบาดของไต้หวัน
ในช่วงที่ผ่านมานี้ เนื่องจากภารกิจการป้องกันโรคระบาดของไต้หวันบังเกิดผลสัมฤทธิ์อันโดดเด่น จึงทำให้ “ไต้หวัน” ปรากฎอยู่บนหน้าสื่อต่างๆ ทั่วโลก
นอกจากนี้ “ไต้หวัน” ก็ยังปรากฎอยู่บนกล่องบรรจุเวชภัณฑ์ในการป้องกันโรคระบาดที่ไต้หวันบริจาคให้แก่นานาประเทศที่ประสบความเดือดร้อน ชาวไต้หวันเป็นกลุ่มคนที่เปรียบเสมือนพลังแห่งความดีของโลก ซึ่งหากพวกเรามีความสามารถที่จะแบ่งปัน เราจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือประชาคมโลกโดยทันที
ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นอกจากการร่วมแบ่งปันความภาคภูมิใจและความปลื้มปิติระหว่างกันแล้ว บรรดาประชาชนชาวไต้หวันจะสามารถสัมผัสได้ถึงสปิริตที่ว่า “ช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังของตนและช่วยให้ผู้อื่นสามารถช่วยเหลือตนเองได้”
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิง พวกเราจึงไม่สามารถวางใจและคลายล็อกมาตรการป้องกันทั้งหมดได้ และแม้ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จะสิ้นสุดลง ผลกระทบต่างๆ ก็ไม่อาจคลี่คลายได้ในทันที
การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในครั้งนี้ส่งผลกระทบทั้งเชิงลึกและเชิงกว้างต่อทั่วโลก สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับการเมืองและเศรษฐกิจโลก โดยไม่เพียงเร่งให้เกิดการก่อตัวและขยายโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก และปรับเปลี่ยนฐานเศรษฐกิจใหม่เท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิตและการบริโภคในภาคประชาชน หรือแม้กระทั่งส่งผลให้ประชาคมโลกเกิดภาพจินตนาการที่มีต่อไต้หวันและแนวโน้มการพัฒนารอบด้านที่เปลี่ยนแปลงไป
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นทั้งบททดสอบและเป็นทั้งโอกาส ข้าพเจ้าขอให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าเตรียมความพร้อมให้ดี เพราะต่อจากนี้ ยังมีบททดสอบและอุปสรรคต่างๆ รอให้พวกเราเผชิญหน้า
4 ปีหลังจากนี้ ประเทศใดที่สามารถเอาตัวรอดจากบททดสอบครั้งใหญ่ของสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้ได้ หรือประเทศใดที่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์การอยู่รอดและการพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งนี้ หรือประเทศใดสามารถจับทิศทางการพัฒนา คว้าโอกาสด้านต่างๆ ได้ ท่ามกลางสถานการณ์อันซับซ้อนที่ทั่วโลกต้องเผชิญหน้าหลังสิ้นสุดวิกฤตโควิด – 19 ประเทศนั้น ก็จะสามารถยืนหนึ่งในประชาคมโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ
การปกครองประเทศชาติไม่สามารถเอาอารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้งได้ หากแต่จำเป็นต้องใช้ความสุขุมรอบคอบในการรับมือและแสวงหาทิศทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผ่านมานี้ ข้าพเจ้าได้ยึดมั่นในหลักการข้อนี้ และทำมันได้สำเร็จแล้ว
อนึ่ง ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าจะพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเพื่อความผาสุกร่วมกันของมวลชน เพราะฉะนั้น 4 ปีหลังจากนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของข้าพเจ้าจะมุ่งเน้นผลักดันภารกิจใน 4 มิติ ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนาอุตสาหกรรม ความสงบเรียบร้อยในสังคม ความมั่นคงของชาติ การพัฒนาประชาธิปไตยในเชิงลึก โดยข้าพเจ้าจะยึดหลักการ เตรียมความพร้อมล่วงหน้า เพื่อให้ไต้หวันก้าวสู่บริบทใหม่ที่ดียิ่งกว่าเดิม ข้าพเจ้าให้คำมั่นว่าจะนำพาไต้หวันก้าวสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิม
(3) โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นดังนี้
ประเด็นที่ 1 การพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ
ข้าพเจ้าทราบดีว่า ประเด็นที่บรรดาประชาชนชาวไต้หวันให้ความสนใจมากที่สุดคือ การพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของไต้หวัน ในปี 2016 พวกเราได้ดำเนินการตาม “การพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่” โดยมุ่งมั่นผลักดันให้ไต้หวันก้าวสู่เวทีนานาชาติ ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกที่มีความผกผันอย่างรุนแรง ซึ่งไต้หวันไม่เพียงแต่สามารถเอาตัวรอดผ่านมาได้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังกลับขึ้นสู่อันดับ 1 ของสี่เสือแห่งเอเชีย อีกทั้งดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันก็สามารถรักษาระดับ 10,000 จุดได้อย่างคงที่
สืบเนื่องจากภารกิจการป้องกันโรคระบาดในไต้หวัน ได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตราบจนปัจจุบัน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไต้หวันก็ยังคงสามารถขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีไม่กี่ประเทศในโลกที่สามารถรักษาเสถียรภาพเช่นนี้ไว้ได้ ในส่วนของมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจ ข้าพเจ้าขอกำชับให้ทุกภาคส่วนยังคงต้องดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคระบาดแบบล่วงหน้าต่อไป ทั้งนี้ เพื่อรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไต้หวันให้เกิดการขยายตัวต่อไป อย่างมีเสถียรภาพ
4 ปีหลังจากนี้ สิ่งที่พวกเราต้องเผชิญหน้าคือ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ผกผันรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน ในด้านภาพรวมเศรษฐกิจ พวกเราจะยึดมั่นในแนวนโยบาย “มุ่งให้เกิดการขยายตัวภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มั่นคง แสวงหาโอกาสในวิกฤต” บรรลุเป้าหมายตามโครงการหลักต่างๆ อาทิ โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานแห่งอนาคต โครงการการลงทุนขนาดใหญ่ ที่คาดการณ์ยอดลงทุนนับล้านล้านเหรียญไต้หวัน เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาทางเศรษฐกิจในอีกหลายสิบปีต่อไปในอนาคต
ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม พวกเราต้องคว้าโอกาส เร่งเสริมสร้าง “ยุทธศาสตร์ 6อุตสาหกรรมหลัก ” ภายใต้พื้นฐานของ โครงการอุตสาหกรรมนวัตกรรม 5 + 2 ของไต้หวันที่มีอยู่เดิม เพื่อผลักดันให้ไต้หวันกลายเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจโลกในอนาคต
● ยุทธศาสตร์ 6 อุตสาหกรรมหลัก
1. ไต้หวันต้องเร่งเสริมสร้างการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ การประยุกต์ใช้ข้อได้เปรียบของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอุตสาหกรรมสารสนเทศ เพื่อผลักดันให้ไต้หวันกลายเป็นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต ด้วยการเดินหน้าผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มกำลัง
2. ไต้หวันต้องพัฒนาอุตสาหกรรมความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศแห่งชาติ โดยผนวกเข้ากับยุคเทคโนโลยี 5G การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล พวกเราต้องสรรค์สร้างระบบบริหารจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศและห่วงโซ่อุตสาหกรรม ที่สามารถปกป้องประเทศชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้เป็นที่เชื่อถือในประชาคมโลก
3. พวกเราต้องเร่งเสริมสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่สามารถเชื่อมโยงกับทั่วโลกได้ สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า “ทีมชาติไต้หวัน” มีศักยภาพเพียงพอในการผลิตน้ำยาตรวจคัดกรอง ประสบความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนายารักษาโรคตัวใหม่และวัคซีนป้องกันโรค ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีอันทันสมัยของโลก พวกเราต้องให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มกำลัง เพื่อผลักดันให้ไต้หวันกลายเป็นกำลังสำคัญในการต่อกรกับความท้าทายของโรคระบาดในโลก
4. พวกเราต้องพัฒนาศักยภาพในการป้องกันประเทศและอุตสาหกรรมสินค้ายุทธศาสตร์ ด้วยการผนึกกำลังระหว่างกองทัพและกลุ่มพลเรือนของไต้หวัน นอกจากการสร้างเครื่องบินรบและเรือรบที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้แล้ว พวกเรายังจะเร่งผลักดันการบูรณาการเทคโนโลยีทางทหาร กระตุ้นให้ภาคเอกชนเร่งดำเนินการผลิต เพื่อก้าวไปสู่บริบทใหม่แห่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศต่อไป
5. พวกเราต้องเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา พลังงานหมุนเวียนมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ไต้หวันกลายเป็นฐานการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนในระดับนานาชาติที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ภายใต้พื้นฐานนี้ ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถทำให้พลังงานสีเขียวครองสัดส่วนร้อยละ20 ในพลังงานทั้งหมดได้ในปี 2025 ซึ่งจะส่งผลให้ไต้หวันก้าวสู่ความเป็นศูนย์กลางพลังงานสีเขียวในภาคพื้นเอเชีย - แปซิฟิกต่อไป
6. เรายังต้องสร้างศักยภาพการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้ายุทธศาสตร์ เมื่อเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางความสงบเรียบร้อยของโลกแห่งอนาคต พวกเราต้องส่งเสริมให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สำคัญอย่างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงาน ตลอดจนเสบียงอาหาร ให้ตั้งฐานการผลิตอยู่ในไต้หวัน เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะเพียงพอต่ออุปสงค์ภายในประเทศ
ท่ามกลางสถานการณ์ทั่วโลกในปัจจุบัน ประเทศใดที่สามารถละทิ้งซึ่งการพึ่งพาได้ ประเทศนั้นก็จะสามารถคว้าโอกาสแห่งการอยู่รอดและพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ ข้าพเจ้าขอให้เหล่าผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมวางใจได้ว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต่อสู้เพียงลำพัง ทางภาครัฐได้วางแผนยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้สามารถพัฒนาต่อไปได้
● ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรม
ก่อนอื่น พวกเราต้องพิจารณาจากพื้นฐานความต้องการบริโภคภายในประเทศ มาเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ และคงไว้ซึ่งความต้องการขั้นพื้นฐานในการรักษาความมั่นคงของชาติ
ยกตัวอย่างเช่นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในครั้งนี้ ความต้องการหน้ากากอนามัยและเวชภัณฑ์ในการป้องกันโรคระบาด กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด อุตสาหกรรมกลาโหมและอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ก็สามารถอ้างอิงจากรูปแบบข้างต้นไปใช้สำหรับต่อยอด เพื่อเร่งให้เกิดการพัฒนาโดยเร็ว
นอกจากมี “ทีมชาติหน้ากากอนามัย” แล้ว ในอนาคตพวกเรายังจะดำเนินการพิจารณาคุณสมบัติและขนาดองค์กรของกิจการทุกภาคอุตสาหกรรม เพื่อจัดตั้งทีมชาติกลุ่มอื่นๆ ต่อไป จากการที่รัฐบาลไต้หวันสร้างหลักประกันในด้านความต้องการบริโภคภายในประเทศ จัดตั้ง “แบรนด์ไต้หวัน” ในอุตสาหกรรมการผลิตเวชภัณฑ์ที่จำเป็นในยามวิกฤต ตลอดจนรุกขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันดีว่า การให้ความช่วยเหลือทางการเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาอุตสาหกรรม ในอนาคต พวกเราจะกำหนดนโยบายการเงินให้เกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ดำเนินการปฏิรูประบบการเงินอย่างต่อเนื่อง ประยุกต์ใช้ตราสารทางการเงินที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนหมุนเวียนกับเหล่าผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ พวกเรายังจะสรรค์สร้างสภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรมที่มั่นคงปลอดภัย รัฐบาลไต้หวันจะธำรงไว้ซึ่งระบบสาธารณสุขที่สมบูรณ์ให้คงอยู่ต่อไป เสริมสร้างระบบความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ เสริมสร้างเสถียรภาพทางสังคม เสริมสร้างการปกครองด้วยหลักนิติธรรม และส่งเสริมให้ตลาดมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีหลักประกันเหล่านี้แล้ว เหล่าผู้ประกอบการเทคโนโลยีขั้นสูงและอุตสาหกรรมสินค้ายุทธศาสตร์ของโลก จึงจะเลือกให้ไต้หวันเป็นฐานการผลิต วิจัย และพัฒนาต่อไป
ต่อจากนั้น พวกเราจะชี้แนะให้กิจการต่างๆ ในไต้หวันขยายรากฐานไปสู่ทั่วโลก เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการเจรจาและลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการคุ้มครองทางการค้าและการลงทุนกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในแถบยุโรป พวกเราจะมุ่งมั่นพยายามต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ในขณะที่รัฐบาลมุ่งผลักดันนโยบายมุ่งใต้ใหม่อย่างต่อเนื่อง ก็จะรุกขยายตลาดที่มีศักยภาพในพื้นที่อื่นๆ อย่างกระตือรือร้นด้วยเช่นกัน เพื่อส่งเสริมให้บรรดาผู้ประกอบการไต้หวันขยายรากฐานไปสู่พื้นที่นั้นๆ และช่วยสร้างคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ สำหรับการประสานความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ ในขณะที่พวกเรากำลังแสวงหาโอกาส นักธุรกิจไต้หวันในต่างประเทศถือเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของพวกเรา
ท้ายนี้ จะกล่าวถึงปัญหาด้านบุคลากร การที่ไต้หวันจะยกระดับขึ้นเป็นกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจระดับโลก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวบรวมบุคลากรจากทุกภาคส่วนมาร่วมผนึกกำลังและระดมสมอง รัฐบาลภายใต้การนำของข้าพเจ้า จะพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด เจ้าหน้าที่วิจัยและพัฒนา รวมถึงบุคลากรด้านการบริหาร เพื่อเสริมสร้างให้คณะทำงานด้านอุตสาหกรรมของไต้หวัน นับวันยิ่งก้าวสู่ความเป็นนานาชาติ เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์และศักยภาพทางการแข่งขันระดับนานาชาติ
ในอนาคต ไต้หวันจะเชื่อมโยงกับนานาชาติ พวกเราจะบ่มเพาะบุคลากรในประเทศและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในประเทศสองภาษาและในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้บุคลากรภาคอุตสาหกรรมมีความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
4 ปีข้างหน้านี้ พวกเราจะมุ่งมั่นในการดำเนินการด้านสภาพคล่องทางการเงิน บ่มเพาะและอ้าแขนรับบุคลากรที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ไต้หวัน เสริมสร้างศักยภาพทางอุตสาหกรรมให้เกิดความแข็งแกร่ง ไต้หวันที่มีการเชื่อมโยงกับนานาชาติอย่างแนบแน่น จะเปิดภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจหน้าใหม่ ก้าวสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง
ประเด็นที่ 2 การเสริมสร้างเสถียรภาพทางสังคม อันประกอบด้วย เครือข่ายสุขภาพทางการแพทย์ เครือข่ายความมั่นคงปลอดภัยในสังคม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
ในขณะที่ประเทศเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม พวกเราก็ไม่ลืมที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพทางสังคม ซึ่งเป็นความคาดหวังสำคัญที่ภาคประชาชนมีต่อรัฐบาล ประเทศที่ดีขึ้นกว่าเดิม รัฐบาลจำเป็นต้องแบกรับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น ลดภาระให้กับบรรดาประชาชน และลดปัญหาในสังคม
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเราได้แก้ไขปัญหาโครงการการดูแลระยะยาว 2.0 โครงการดูแลเด็กปฐมวัย และความเป็นธรรมด้านที่อยู่อาศัย ซึ่ง 4 ปีหลังจากนี้ เป้าหมายต่อไปของพวกเราคือ การเสริมสร้างเครือข่ายเหล่านี้ให้เกิดความครอบคลุมและปราศจากช่องโหว่ เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และจะปกป้องไม่ให้ประชาชนประสบกับความเสียหายเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีก
● เครือข่ายความมั่นคงในด้านสุขภาพและการป้องกันโรคระบาด
ก่อนอื่น พวกเราต้องเสริมสร้างเครือข่ายความมั่นคงในด้านสุขภาพและการป้องกันโรคระบาด ไต้หวันได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ถือเป็นความท้าทายอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของมวลชน ดังนั้น พวกเราจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคระบาดอย่างรัดกุม อัดฉีดทรัพยากรทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อความต้องการ ผนวกเข้ากับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคและยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงคิดค้นวิธีการป้องกันและรักษาโรคระบาดต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรง และได้รับการดูแลรักษาที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
● อุดช่องโหว่ของเครือข่ายความปลอดภัยในสังคม
ในลำดับต่อมา ภาครัฐบาลจะร่วมมือกันอุดช่องโหว่ของเครือข่ายความปลอดภัยในสังคม หลายปีมานี้ เกิดเหตุผู้ป่วยจิตเวชก่อคดีขึ้นหลายครั้ง ทำให้กลายเป็นประเด็นที่ถูกนำมาถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติทางจิตอื่นๆ ผู้ที่มีภาวะติดยาเสพติด และผู้ที่มีปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น
ข้าพเจ้าเข้าใจถึงความหวั่นวิตกของภาคประชาชน นี่ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของบุคคลหรือเรื่องในครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของรัฐบาลด้วยเช่นกัน เมื่อครอบครัวไม่สามารถดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ได้ รัฐบาลก็มีสิทธิ์ที่จะยื่นมือเข้าให้ความช่วยเหลือ
ข้าพเจ้าจะเสริมสร้างระบบการดูแลทางสังคม ยกระดับศักยภาพของนักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติภารกิจอยู่แนวหน้า ปฏิรูปสภาพแวดล้อมการทำงานของบรรดาเจ้าหน้าที่ฯ ส่งเสริมให้การสังคมสงเคราะห์เข้าถึงได้แม้ในระดับรากหญ้า ค้นหาและติดตามตัวผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนที่ไม่ได้รับการดูแลในช่วงก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ประเด็นการโต้แย้งที่เกิดจากกรณีดังกล่าว พวกเราไม่สามารถผลักภาระความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับหน่วยงานแพทย์หรือผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีความนี้ได้เพียงฝ่ายเดียว กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานสภาบริหารไต้หวัน ควรเร่งพิจารณาปรับปรุงและเสริมสร้างระบบให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ในส่วนที่ต้องมีการแก้ไขร่างกฎหมายก็ขอให้เร่งแก้ไขโดยเร็ว
ประเด็นที่ 3 ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ อันประกอบด้วย การปฏิรูปกิจการด้านกลาโหม การเข้าร่วมองค์การระหว่างประเทศอย่างกระตือรือร้น และการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน
ประเทศที่ดีขึ้นกว่าเดิม จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติควบคู่ไปด้วย ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของข้าพเจ้าได้เร่งผลักดันการปฏิรูปกิจการด้านกลาโหม คว้าโอกาส ในการเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศอย่างกระตือรือร้น ตลอดจนธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน 4 ปีต่อจากนี้ไป ทิศทางนโยบายเหล่านี้จะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และพวกเราจะดำเนินการในเชิงลึกยิ่งขึ้น
● การปฏิรูปกิจการด้านกลาโหม
ในด้านการปฏิรูปกิจการด้านกลาโหม มีทิศทางที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
ประการที่ 1 เร่งพัฒนา “แสนยานุภาพทางการทหารที่ขาดความสมดุล” โดยในขณะที่เร่งเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันประเทศของกองทัพแล้ว ยังต้องดำเนินการพัฒนาแสนยานุภาพทางการทหารควบคู่ไปด้วย โดยเน้นไปที่การฝึกซ้อม ตอบโต้ และการทำสงครามรูปแบบใหม่ ตลอดจนเสริมสร้างสมรรถนะในการรับมือกับการข่มขู่ทาง “สงครามไซเบอร์” “สงครามจิตวิทยา” และ “สงครามไร้ขีดจำกัด” เพื่อบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์การสกัดกั้นหลายระดับชั้น
ประการที่ 2 การปฏิรูประบบกำลังสำรองของกองทัพอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะยกระดับคุณภาพของกำลังพลสำรองและอาวุธยุทโธปกรณ์ติดตัวทหาร เนื่องจากพวกเราตระหนักดีว่า มีเพียงการยกระดับศักยภาพและความพร้อมของกำลังพลสำรองให้สูงขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถประสานและร่วมทำสงครามกับทหารประจำการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมความพร้อมด้วยการจัดตั้งกลไกและระบบทะเบียนกำลังพลสำรองแบบข้ามหน่วยงาน ตลอดจนบูรณาการทรัพยากรต่างๆ ทั้งกำลังทหารและกำลังอาวุธ อันเป็นพื้นฐานในการนำพาไต้หวันบรรลุภารกิจตามเป้าหมายได้สำเร็จในยามศึกสงคราม ที่มิอาจสามารถคาดเดาได้
ประการที่ 3 การปฏิรูประบบบริหารจัดการกองทัพทหาร ในยุคปัจจุบัน นายทหารรุ่นใหม่ต่างเติบโตมาในสังคมเสรีภาพประชาธิปไตย จะทำอย่างไรให้บรรดาทหารเหล่านี้สำแดงศักยภาพและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในหน่วยงานกลาโหม ถือเป็นประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลเล็งเห็นว่า นายทหารรุ่นใหม่ที่เข้ามารับใช้ประเทศชาติต่างประสบกับปัญหาการปรับตัวในสังคม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและระบบการบริหารแบบดั้งเดิมในกองทัพ ซึ่งเจ้าหน้าที่ภาครัฐจำเป็นต้องเข้าให้ความช่วยเหลือ อุดช่องว่างความไม่ลงรอยนี้โดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ความไม่สมบูรณ์ของระบบ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่สังคมมีต่อกองทัพทหาร อีกทั้งเหตุการณ์เหล่านี้ยังเป็นการบ่อนทำลายเกียรติยศ ขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารหาญอีกด้วย
ดังนั้น พวกเราต้องเสริมสร้างกลไกการดูแลเรื่องร้องเรียนในกองทัพ จัดตั้งกลไกการสอบสวนคดีที่เป็นธรรม ทบทวนระบบการจัดสรรกำลังพล ในด้านการฝึกอบรม จำเป็นต้องยกระดับความสามารถในการเป็นผู้นำและทักษะในการบริหารของเจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกระดับ เพื่อพัฒนาไปสู่ความเชี่ยวชาญที่ก้าวทันยุคสมัย
กล่าวโดยสรุป พวกเราต้องแสวงหาจุดสมดุลระหว่างการรักษาระเบียบวินัยทางทหารของกองทัพและการเคารพสิทธิส่วนบุคคลตามหลักค่านิยมทางสังคมควบคู่ไปด้วยกัน
● การเข้าร่วมองค์ระหว่างประเทศอย่างกระตือรือร้น
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้เข้าร่วมหารือประเด็นสำคัญต่างๆ ในระดับนานาชาติ อาทิ ความร่วมมือในการปราบปรามการก่อการร้าย การให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม เสรีภาพด้านการนับถือศาสนา และปัญหาความมั่นคงของชาติในรูปแบบใหม่
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้ พวกเราได้ให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ตามกำลังที่เราพอจะช่วยบรรเทาให้แก่ประชาคมโลกได้ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างสูง
ไต้หวัน ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่า เป็นประเทศที่มีเรื่องราวแห่งประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จ เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ และเป็นพลังแห่งความดีของโลก ซึ่งนี่เป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของชาวไต้หวันทั้งมวล
4 ปีข้างหน้านี้ พวกเราจะพยายามต่อไปเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ์ในการเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศพันธมิตร อันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองระหว่างกัน ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกกับประเทศที่มีค่านิยมคล้ายคลึงกันอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และประเทศในภูมิภาคยุโรป เป็นต้น
อนึ่ง พวกเรามีความมุ่งมั่นในการเข้ามีส่วนร่วมในกลไกความร่วมมือระดับภูมิภาคต่อไป จับมือกับประเทศที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค ร่วมเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และร่วมสร้างคุณประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมให้เกิดแก่ภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกสืบไป
● การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีความผกผันซับซ้อนระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน 4 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายจากประชาคมโลก พวกเราจะพยายามต่อไป และพร้อมเปิดการเจรจากับรัฐบาลจีน สร้างคุณประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายในการรักษาความมั่นคงให้เกิดแก่ภูมิภาค
ข้าพเจ้ายังคงยืนยันในหลักการ “สันติภาพ เสมอภาค ประชาธิปไตย และการเจรจา” พวกเราจะไม่ยอมรับหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบของรัฐบาลปักกิ่งที่นำมาใช้กดขี่ไต้หวัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อบ่อนทำลายสถานภาพปัจจุบันของช่องแคบไต้หวัน ซึ่งนี่เป็นหลักการที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ในการดำเนินภารกิจเกี่ยวกับสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน เราจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และกฎหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของสองฝั่งช่องแคบไต้หวันอย่างเคร่งครัด นี่เป็นจุดยืนเพียงหนึ่งเดียวในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน
ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวันอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน แสวงหาแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในระยะยาว หลีกเลี่ยงการปะทะกันและความขัดแย้งขยายวงกว้าง ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีแต่ปัจจัยแห่งความไม่แน่นอนนี้ พวกเราจะยึดมั่นในหลักการ พร้อมทั้งยึดมั่นในแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง แบกรับความรับผิดชอบในส่วนของตน โดยหวังว่า ผู้นำรัฐบาลจีนก็จะสามารถรับความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทางฝั่งตนด้วยเช่นกัน เพื่อธำรงไว้ซึ่งการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวันที่มีเสถียรภาพในระยะยาว
(4) เสริมสร้างระบบราชการและการพัฒนาประชาธิปไตยในเชิงลึก
4 ปีข้างหน้านี้ นอกจากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้ว การปรับปรุงระบบราชการก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยสภานิติบัญญัติ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) มีแผนการที่จะจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยการจัดตั้งแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมให้ระบบราชการที่เกี่ยวข้อง และประเด็นการปฏิรูปตามหลักรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับสิทธิด้านมนุษยชน ได้รับการอภิปรายในเชิงลึก เพื่อบรรลุฉันทามติร่วมกัน
จากกระบวนการประชาธิปไตยนี้ จะส่งผลให้กฎหมายรัฐธรรมนูญสามารถก้าวทันตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม สอดรับกับค่านิยมทางสังคมของไต้หวัน โดยในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิพลเมืองที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นฉันทามติร่วมกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน จะมีการผลักดันแก้ไขเป็นอันดับแรก
ในส่วนของการปฏิรูประบบตุลาการ ในวาระการดำรงตำแหน่งที่ผ่านพ้นไป ข้าพเจ้าได้บรรลุคำมั่นใน การจัด “การประชุมระดับประเทศว่าด้วยการปฏิรูประบบตุลาการ” ผลักดันให้ดำเนินการแก้ไข “กฎหมายว่าด้วยวินัยข้าราชการฝ่ายตุลาการ” “กฎหมายว่าด้วยทนายความ” “กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” และ “กฎหมายว่าด้วยแรงงาน” ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการพื้นฐานในการปรับปรุงปฏิรูประบบตุลาการให้เกิดความสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูประบบตุลาการยังอยู่ในช่วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ผลสัมฤทธิ์ในขั้นแรกนี้อาจจะยังไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของภาคประชาชนมากนัก ซึ่งข้าพเจ้าจะน้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนต่อไป และจะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ความไม่พึงพอใจของภาคประชาชนเป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องต่อไป
ในหนทางอีก 4 ปีข้างหน้านี้ กฎหมายว่าด้วยระบบตุลาการที่ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารูปคดี ถือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการปฏิรูป ทั้งนี้ เพื่อลดช่องว่างระหว่างระบบตุลาการและภาคประชาชน ให้เป็นไปตามความคาดหวังและให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากขึ้น
นอกจากนี้ คณะตุลาการทุกหน่วยต้องเร่งฝีเท้าในการปฏิรูป ส่วนการปรับโครงสร้างองค์กรของสภาบริหาร ก็ต้องดำเนินการตรวจสอบและประเมินอย่างละเอียด จากนั้นจึงจะเดินหน้าปรับปรุงต่อไป รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบด้านการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อส่งเสริมให้ศักยภาพด้านการปกครองของรัฐบาล สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น
คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของสภาการตรวจสอบ มีกำหนดการจะจัดตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งนั่นจะเป็นหลักชัยที่จารึกการดำเนินการตามแนวคิด "สิทธิมนุษยชนสร้างชาติ" และเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงของสภาการตรวจสอบ
อนึ่ง ข้าพเจ้าจะขอให้คณะทำงานชุดใหม่ของสภาสอบคัดเลือกที่มีกำหนดการเข้าดำรงตำแหน่งในเดือนกันยายนนี้ ยื่นเสนอแผนการปฏิรูปที่สมบูรณ์ พิจารณาทบทวนแนวทางปฏิบัติในอดีต เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นหน่วยงานทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ บ่มเพาะบุคลากรด้านการบริหารการปกครองที่สอดคล้องกับความต้องการของรัฐบาลในยุคปัจจุบัน
(5) บทสรุป
พี่น้องประชาชนชาวไต้หวันทุกท่าน ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมาสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน)ได้ร่วมผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวในการก้าวข้ามอุปสรรคความท้าทายที่ถาโถมเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเราได้ร่วมกันต่อต้านการรุกรานและความต้องการเข้าครอบครองจากมหาอำนาจ ก้าวผ่านอำนาจเผด็จการ และเคยเดินบนเส้นทางแห่งความทุรกันดารที่ถูกประชาคมโลกปล่อยทิ้งไว้ให้โดดเดี่ยว แต่ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคในรูปแบบใด พวกเราก็ยังคงยืนหยัดในค่านิยมแห่งเสรีภาพประชาธิปไตย อุดมการณ์ที่ว่า “ช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังของตนและช่วยให้ผู้อื่นสามารถช่วยเหลือตนเองได้” ก็ยังคงเป็นแนวคิดหลักที่พวกเรายึดถือตลอดมา
ภายในพิธีวันนี้ มีวีรบุรุษที่ปฏิบัติภารกิจการป้องกันโรคระบาดหลายท่านเข้าร่วม โดยเฉพาะผู้ประกอบการระดับบน กลาง และล่างของทีมชาติหน้ากากอนามัยไต้หวัน คณะทำงานด้านระบบสาธารณสุข ในศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคระบาด (Central Epidemic Command Center, CECC) และคณะรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรีซูเจินชาง
นอกจากนี้ ยังมีวีรบุรุษในภารกิจการป้องกันโรคระบาดจากอุตสาหกรรมทุกแขนงที่ไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้ อันประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เภสัชกร พนักงานร้านสะดวกซื้อ และพนักงานขนส่ง เป็นต้น
ขออภัยที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นนามบุคคลได้ แต่ข้าพเจ้าอยากแจ้งให้ทุกท่านรับทราบว่า 70 ปีที่ผ่านมา การที่ไต้หวันสามารถก้าวผ่านอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่าได้ ไม่ได้มาจากการอุทิศตนของวีรบุรุษเพียง 1 หรือ 2 คนเท่านั้น แต่คือการที่วีรบุรุษนิรนามทุกคนร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกันในการหมุนวงล้อประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะทุกคน จึงส่งผลให้ไต้หวันสามารถส่งต่อความสุข ความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรือง จากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างไม่สิ้นสุด
ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่าน ชาวไต้หวันทุกท่านล้วนเป็นวีรบุรุษที่ทำให้ไต้หวันมีวันนี้ นางสาวไช่อิงเหวินและนายไล่ชิงเต๋อ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มายืน ณ จุดนี้ เพื่อรับมอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่จากทุกท่าน
การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน ท่ามกล่างสภาวการณ์ที่คับขันและวิกฤตเช่นนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกมีความกดดันมากกว่าความปลื้มปิติมาก แต่ข้าพเจ้าจะไม่ยอมศิโรราบ เพราะข้าพเจ้าทราบดีว่ามีประชาชนทุกคนคอยเป็นแรงเสริมและกำลังใจ
หนทางข้างหน้าอาจไม่ราบรื่น อุปสรรคก็อาจมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่พวกเราเป็นประเทศที่ก้าวผ่านคลื่นลูกใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน พวกเราชาวไต้หวัน 23 ล้านคน ต่างมีส่วนร่วมในการดำรงอยู่และสูญสิ้นไป ในอดีตเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น และจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปตราบนานเท่านาน
ข้าพเจ้าคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บรรดาพี่น้องชาวไต้หวันจะร่วมจดจำสถานการณ์ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผนึกกำลังอย่างแน่นแฟ้น เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคในครั้งนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า ไต้หวันมีความเป็นเอกภาพ ไต้หวันมีความปลอดภัยอย่างที่สุด การเป็นคนไต้หวันจึงถือเป็นความภาคภูมิใจ ที่เราจะสามารถยืดอกเงยหน้า ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ
พี่น้องชาวไต้หวันที่รักทุกท่าน หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล เรื่องราวของไต้หวันกำลังจะเปิดสู่ศักราชใหม่ เรื่องราวของไต้หวันเป็นของพวกเราทุกคน และต้องการกำลังความสามารถของทุกคน
ข้าพเจ้าขอให้ประชาชนชาวไต้หวัน 23 ล้านคนร่วมทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและเป็นพันธมิตรที่ขาดไม่ได้ของรัฐบาล และขอให้พวกเราร่วมระดมสมองและความกล้าหาญ ร่วมกันสรรค์สร้างประเทศที่ดีขึ้นกว่าเดิม ขอบคุณทุกท่านค่ะ