สาระสำคัญของเนื้อข่าว :
♦ IHS Markit ระบุว่า การพัฒนาเทคโนโลยี 5G จะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจอันมหาศาลให้กับตลาดไต้หวัน และจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด – 19 คาดว่าเมื่อถึงปี 2035 จะสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้มากถึง 13.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
♦ รองปธน.ไล่ฯ ย้ำว่า ในช่วง 5 ปีนี้ สภาบริหารไต้หวันได้วางแผนทุ่มงบประมาณ 50,000 ล้านเหรียญไต้หวัน เพื่อผลักดันการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบ 5G และลดช่องว่างด้านเทคโนโลยี 5G ระหว่างเขตเมืองและชนบท ตลอดจนบรรลุเป้าหมายในการให้บริการ 5G เพื่อสาธารณะประโยชน์ เป็นต้น
♦ รองปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า รัฐบาลต้องพัฒนาตัวเองให้เข้าสู่ระบบ AI เพื่อให้หน่วยงานด้านสารสนเทศของภาครัฐสามารถตอบสนองต่อเทคโนโลยีแห่งยุคใหม่ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ด้านเทคโนโลยี AI สามารถยกระดับขึ้นสู่ความเป็นอุตสาหกรรมให้ได้
-------------------------------------------
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 24 ก.ย. 63
เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา นายไล่ชิงเต๋อ รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เดินทางเข้าร่วม “งานสัมมนาเทคโนโลยี 5G x AI แห่งวิถีชีวิตใหม่” พร้อมแสดงความเห็นว่า ยุค 5G มาถึงแล้ว ไต้หวันต้องก้าวสู่การเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี 5G ให้ได้ จึงจะสามารถรักษาศักยภาพทางการแข่งขันในระดับนานาชาติไว้ต่อไปได้ ในอนาคต ขอให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันในการพัฒนาให้ไต้หวันมีความก้าวหน้ามากขึ้น เพื่อช่วยให้ชีวิตในอนาคตสามารถก้าวเข้าสู่วิถีแห่งชีวิตใหม่ได้
รองปธน.ไล่ฯ ชี้ว่า เมื่อช่วงที่ผ่านมา IHS Markit ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศระบุว่า การพัฒนาเทคโนโลยี 5G จะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจอันมหาศาลให้กับตลาดไต้หวัน และจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด – 19 คาดว่าเมื่อถึงปี 2035 จะสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้มากถึง 13.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดยรองปธน.ไล่ฯ ย้ำว่า ในช่วง 5 ปีนี้ สภาบริหารไต้หวันได้วางแผนทุ่มงบประมาณ 50,000 ล้านเหรียญไต้หวัน เพื่อผลักดันการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบ 5G และลดช่องว่างด้านเทคโนโลยี 5G ระหว่างเขตเมืองและชนบท ตลอดจนบรรลุเป้าหมายในการให้บริการ 5G เพื่อสาธารณะประโยชน์ เป็นต้น
รองปธน.ไล่ฯ ยังเห็นว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของไต้หวัน ต่างก็มีบทบาทสำคัญในเวทีโลก แต่ในยุคของอุตสาหกรรม 4.0 เราไม่สามารถละเลยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการให้บริการด้านซอฟต์แวร์ได้ หากมีการผนวกซอฟต์แวร์เข้ากับฮาร์ดแวร์ได้อย่างลงตัว ก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระดับนานาชาติในอนาคต ให้อยู่ในสถานะที่สามารถเอาตัวรอดในตลาดได้ ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้เร่งผลักดัน “แผนปฏิบัติการ AI” โดยผนวกเข้ากับพื้นฐานอุตสาหกรรม ICT ของไต้หวัน พร้อมทั้งบ่มเพาะบุคลากรด้าน AI เพื่อส่งเสริมให้การพัฒนาบุคลากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของการพัฒนาต่อไปในยุคแห่งอนาคต
ทั้งนี้ รองปธน.ไล่ฯ ยังได้กล่าวย้ำว่า นอกจากแผนปฏิบัติการ AI ที่ต้องเร่งผลักดันอย่างต่อเนื่องแล้ว รัฐบาลก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เข้าสู่ระบบ AI ด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้หน่วยงานด้านสารสนเทศของภาครัฐสามารถตอบสนองต่อเทคโนโลยีแห่งยุคใหม่ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ด้านเทคโนโลยี AI สามารถยกระดับขึ้นสู่ความเป็นอุตสาหกรรมให้ได้ พร้อมทั้งนำเอาพลังแห่งเทคโนโลยี AI ไปใช้ในการยกระดับอุตสาหกรรมต่างๆ ต่อไป