สาระสำคัญของเนื้อข่าว :
♦ ไต้หวันบังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีต่างๆ เข้าช่วยในมาตรการการป้องกันโรคระบาด ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมยอมรับอย่างล้นหลามและเป็นที่จับตามองของนานาประเทศทั่วโลก
♦ รัฐบาลได้ประยุกต์ใช้มาตรการป้องกันโรคระบาดรูปแบบดิจิทัล ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคระบาดแบบเรียลไทม์ผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ อาทิ LINE เป็นต้น พร้อมประสานความร่วมมือในการจัดทำแผนที่หน้ากากอนามัยระหว่างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
♦ ภายใต้พื้นฐานที่มีอยู่เดิม รัฐบาลไต้หวันคาดหวังที่จะยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้ก้าวไปสู่อีกขั้น พร้อมทั้งขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งในด้านองค์กร งบประมาณ การดึงดูดทรัพยากร และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้กับไต้หวันต่อไป
-------------------------------------------
สภาบริหาร วันที่ 30 พ.ย. 63
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. นายซูเจินชาง นายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ทำหน้าที่เป็นประธานใน “การประชุมของคณะทำงานผลักดันเศรษฐกิจนวัตกรรมและการมุ่งสู่การเป็นประเทศดิจิทัลของสภาบริหาร ครั้งที่ 4” โดยนรม.ซูฯ กล่าวว่า ไต้หวันบังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีต่างๆ เข้าช่วยในมาตรการการป้องกันโรคระบาด ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมยอมรับอย่างล้นหลามและเป็นที่จับตามองของนานาประเทศทั่วโลก สถานการณ์โลกในปัจจุบันพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว ตลอดหลายปีมานี้ รัฐบาลไต้หวันภายใต้การนำของประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เร่งยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลภายใต้พื้นฐานที่มีอยู่เดิม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้กับไต้หวันต่อไป
นรม. ซูฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไต้หวันบังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีต่างๆ เข้าช่วยในมาตรการการป้องกันโรคระบาด ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมยอมรับอย่างล้นหลามและเป็นที่จับตามองของนานาประเทศทั่วโลก ในจำนวนนี้ รัฐบาลได้ประยุกต์ใช้มาตรการป้องกันโรคระบาดรูปแบบดิจิทัลด้วยการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคระบาดแบบเรียลไทม์ผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ อาทิ LINE เป็นต้น พร้อมประสานความร่วมมือในการจัดทำแผนที่หน้ากากอนามัยระหว่างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการให้ความร่วมมือกับมาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ยังช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงหน้ากากอนามัยได้อย่างเท่าเทียมและเป็นระบบ ตลอดจนทำให้การจัดส่งหน้ากากอนามัยบรรลุประสิทธิผลขั้นสูงสุดอีกด้วย
นรม.ซูฯ เน้นย้ำว่า ภายใต้พื้นฐานที่มีอยู่เดิม รัฐบาลไต้หวันคาดหวังที่จะยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้ก้าวไปสู่อีกขั้น พร้อมทั้งขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งในด้านองค์กร งบประมาณ การดึงดูดทรัพยากร และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้กับไต้หวันต่อไป ในด้านองค์กร ขณะนี้สภาบริหารกำลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กร โดยวางแผนที่จะจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลขึ้นในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ ภายใต้ “โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในอนาคต” ในอีก 4 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะอัดฉีดงบประมาณรวม 100,000 ล้านเหรียญไต้หวันในการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลภายในประเทศ นอกจากนี้ ภายในระยะเวลา 2 ปีนี้ รัฐบาลยังวางแผนที่จะอัดฉีดงบประมาณ 7,600 ล้านเหรียญไต้หวันในการดึงดูดให้บริษัทระดับนานาชาติเพิ่มการลงทุนเข้าสู่ไต้หวัน อาทิ เทคโนโลยี AI , IoT ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ และอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ทั้งนี้ เพื่อสรรค์สร้างให้ไต้หวันก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางแห่ง “การผลิตขั้นสูง การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูง และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ทันสมัย” ต่อไป
นรม.ซูฯ ได้ยกกรณีตัวอย่างเมื่อครั้งที่ท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการเมืองไทเป โดยชี้ว่า ในขณะนั้น รัฐบาลได้ประยุกต์ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการบูรณาการทรัพยากรให้รวมเป็นหนึ่ง และกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ไทเปสามารถเชื่อมต่อข้อมูลได้แบบครบวงจร และสามารถยื่นขอโฉนดและสำเนาทะเบียนบ้านได้ที่สำนักงานทะเบียนราษฎร์ในพื้นที่ จึงจะเห็นได้ว่า เราสามารถย่นระยะทางด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้บริบทที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทางข้อมูลและการอำนวยความสะดวกแก่ภาคประชาชน ข้อมูลของทุกหน่วยงานภาครัฐควรเชื่อมโยงเข้าหากัน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความลำบากในการดำเนินธุรกรรมในหน่วยงานภาครัฐให้แก่ภาคประชาชน
นรม.ซูฯ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ยังได้ติดต่อเชิญคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนเข้าร่วมด้วย โดยคาดหวังที่จะร่วมพิจารณทบทวนผลสัมฤทธิ์ที่เคยดำเนินการผลักดันมาเมื่อครั้งอดีต และร่วมหารือรายละเอียดของภารกิจในขั้นตอนถัดไป ตลอดจนกำหนดทิศทางภารกิจที่ต้องการมุ่งเน้นผลักดันต่อไปในอนาคต