สาระสำคัญของเนื้อข่าว :
♦ เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. กต.ไต้หวันและบริษัทเฟซบุ๊กได้ประสานความร่วมมือกันในการจัด “การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการทูตดิจิทัล” โดยทั้งสองฝ่ายต่างได้ร่วมหารือกันในประเด็นการประยุกต์ใช้พลังสื่อรูปแบบใหม่ในการประชาสัมพันธ์หลักการ “Taiwan Can Help” ของไต้หวันให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาคมโลก
♦ ในระหว่างการประชุม ยังได้มีการร่วมหารือกันในประเด็นต่างๆ กับตัวแทนบริษัทเฟซบุ๊ก อาทิ นโยบายสาธารณะและอุปกรณ์ตัวช่วยประชาสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพของเฟซบุ๊ก การขยายการเข้าถึงผลสัมฤทธิ์ด้านการทูตดิจิทัล ตลอดจนสร้างความเชื่อมโยงกับภาคประชาสังคมในการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ เป็นต้น
-------------------------------------------
MOFA วันที่ 9 ธ.ค. 63
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) (Ministry of Foeign Affairs, MOFA) และบริษัทเฟซบุ๊ก (Facebook) ได้ประสานความร่วมมือกันในการจัด “การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการทูตดิจิทัล” (Digital Diplomacy Workshop) ปี 2020 ขึ้น ณ สถาบันการทูตและการต่างประเทศของไต้หวัน โดยการประชุมในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ที่จัดขึ้นครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างได้ร่วมหารือกันในประเด็นการประยุกต์ใช้พลังสื่อรูปแบบใหม่ในการประชาสัมพันธ์หลักการ “Taiwan Can Help” ของไต้หวันให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาคมโลก นายเถียนจงกวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กล่าวเน้นย้ำขณะปราศรัยว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ที่ลุกลามไปทั่วโลกเช่นนี้ การที่ไต้หวันยังคงสามารถจัดกิจกรรมการประชุมในรูปแบบออฟไลน์ได้ตามปกติ แสดงให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ด้านการป้องกันโรคระบาดที่ประสบความสำเร็จของไต้หวัน แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด – 19 ในต่างประเทศยังคงรุนแรงไม่สิ้นสุด เจ้าหน้าที่การทูตและการสื่อสารระหว่างประเทศจึงทำได้เพียงจัดขึ้นผ่านรูปแบบออนไลน์ ซึ่งยิ่งเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของแพลตฟอร์มสื่อดิจิทัลรูปแบบใหม่
กิจกรรมครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการเผยแพร่คลิปวิดีโอการกล่าวปราศรัยของประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในประเด็นการผลักดัน “โครงการร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล Made by Taiwan 2020” ของบริษัทเฟซบุ๊กในไต้หวัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อบทบาทของสื่อโซเชียลของรัฐบาลไต้หวัน โดยในระหว่างการประชุม ยังได้มีการร่วมหารือกันในประเด็นต่างๆ กับตัวแทนบริษัทเฟซบุ๊ก อาทิ นโยบายสาธารณะและอุปกรณ์ตัวช่วยประชาสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพของเฟซบุ๊ก การขยายการเข้าถึงผลสัมฤทธิ์ด้านการทูตดิจิทัล ตลอดจนสร้างความเชื่อมโยงกับภาคประชาสังคมในการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ เป็นต้น โดยการประชุมในครั้งนี้ยังได้เชิญเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ ที่ประจำอยู่ในไต้หวัน ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อรูปแบบใหม่ รวมถึงเจ้าหน้าที่กต.ไต้หวัน เข้าร่วมการประชุมผ่านรูปแบบออนไลน์ในครั้งนี้ร่วมกัน
การประชุมในครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างประเทศที่ประจำการในไต้หวันรวม 17 แห่งให้ความสนใจเข้าร่วมอย่างคึกคัก ประกอบด้วย สำนักงานตัวแทนรัฐบาลของสหรัฐ แคนาดา ญี่ปุ่น ปาเลา หมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย อังกฤษ เบลเยี่ยม สวิตเซอร์แลนด์ สำนักงานเศรษฐกิจและการค้ายุโรป ฮอนดูรัส เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์ เอสวาตินี และไนจีเรีย ในจำนวนนี้ H.E. Eny Bautista เอกอัครราชทูตฮอนดูรัสประจำไต้หวันได้เดินทางเข้าร่วมด้วยตนเอง บรรยากาศการแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างคึกคัก
ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่กต.ไต้หวัน ตัวแทนบริษัทเฟซบุ๊ก และเจ้าหน้าที่สมาคมส่งเสริมการทูตดิจิทัลของไต้หวัน ทยอยกันทำหน้าที่เป็นผู้บรรยาย โดยนางหวงจื้อหยาง รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กต.ไต้หวัน ได้บรรยายถึงภารกิจด้านการทูตดิจิทัล ซึ่งได้ชี้แจงถึงผลสัมฤทธิ์ด้านการผลักดันนโยบาย “ไต้หวันช่วยได้” (Taiwan Can Help) ของไต้หวัน นอกจากนี้ นายเฉินอี้หรู ผู้จัดการบริษัทเฟซบุ๊กสาขาไต้หวัน รวมถึงนายโจวจื่อเลี่ย และนายหลี่เห้อ ตัวแทนบริษัทเฟซบุ๊ก ได้ร่วมชี้แจงถึงบทบาทของบริษัทเฟซบุ๊กในด้านนโยบายสาธารณะและการทูตดิจิทัล รวมถึงกลยุทธ์การปราบปรามข่าวปลอมและนักเลงคีย์บอร์ดที่เป็นมืออาชีพ นอกจากนี้ นายกัวเจียโย่ว นายกสมาคมส่งเสริมการทูตดิจิทัล ก็ได้ร่วมแบ่งปันพลังของภาคประชาสังคมที่เข้าร่วมในประเด็นสำคัญระดับนานาชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาคมโลกประจักษ์เห็นถึงประสบการณ์อันเป็นรูปธรรมของไต้หวัน
การประชุมในครั้งนี้นับเป็นความร่วมมือครั้งที่ 2 ระหว่างกต.ไต้หวันและบริษัทเฟซบุ๊ก โดยกต.ไต้หวันจะร่วมแลกเปลี่ยนและประสานความร่วมมือกับทุกแวดวงในเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับศักยภาพในการดำเนินภารกิจการทูตดิจิทัลของไต้หวัน ตลอดจนผนึกกำลังกับภาคประชาสังคมในการประชาสัมพันธ์ผลสัมฤทธิ์ทางการทูตผ่านสื่อรูปแบบใหม่ต่อไป
