ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ปธน.ไช่ฯ เข้าร่วม “พิธีตั้งชื่อเรือและปล่อยเรือฟริเกตลำแรกลงน้ำ และพิธีส่งมอบเรือวางทุ่นระเบิดความเร็วสูงลำแรก”
2020-12-16
New Southbound Policy。ปธน.ไช่อิงเหวิน (กลาง) ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เป็นประธานใน “พิธีตั้งชื่อเรือและปล่อยเรือฟริเกตลำแรกลงน้ำ และพิธีส่งมอบเรือวางทุ่นระเบิดความเร็วสูงลำแรก” (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)
ปธน.ไช่อิงเหวิน (กลาง) ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เป็นประธานใน “พิธีตั้งชื่อเรือและปล่อยเรือฟริเกตลำแรกลงน้ำ และพิธีส่งมอบเรือวางทุ่นระเบิดความเร็วสูงลำแรก” (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)

สาระสำคัญของเนื้อข่าว :
♦ นโยบายการผลิตเรือรบเพื่อป้องกันประเทศด้วยตนเองของไต้หวัน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการกลาโหมว่าด้วยการพึ่งพาตนเอง ได้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดทั้ง 3 ประการ 

♦ ภายใต้นโยบายเรือรบที่ผลิตในประเทศของไต้หวัน อุปกรณ์ภายในและชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ที่ผลิตในประเทศก็ได้รับการพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอนาคต ไต้หวันอาจก้าวสู่การเป็นซัพพลายเออร์ด้านอุปกรณ์และชิ้นส่วนอะไหล่ที่เกี่ยวข้อง ให้กับประเทศประชาธิปไตยในซีกโลกตะวันตกต่อไป

♦ การผลักดันเรือรบที่ผลิตในไต้หวันนอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่ในการปกป้องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของเราแล้ว ยังเป็นการยกระดับศักยภาพและเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมกลาโหมและการต่อเรืออีกด้วย
-------------------------------------------
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 15 ธ.ค. 63

 

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เดินทางเข้าร่วม “พิธีตั้งชื่อเรือและปล่อยเรือฟริเกตลำแรกลงน้ำ และพิธีส่งมอบเรือวางทุ่นระเบิดความเร็วสูงลำแรก” ณ เมืองอี๋หลาน พร้อมนี้ปธน.ไช่ฯ ยังได้กล่าวว่า พิธีส่งมอบเรือและปล่อยเรือลงน้ำในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่ในการปกป้องอาณาเขตทางทะเลของไต้หวันอย่างครอบคลุม รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมกลาโหมของไต้หวันอีกด้วย นโยบายการผลิตเรือรบเพื่อป้องกันประเทศด้วยตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการกลาโหมว่าด้วยการพึ่งพาตนเอง ได้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดทั้ง 3 ประการ ดังนี้ “ยกระดับแสนยานุภาพด้านกลาโหม” “บ่มเพาะบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาในอนาคต” และ “กระตุ้นการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่”

 

ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า นโยบายการกลาโหมว่าด้วยการพึ่งพาตนเองเป็นนโยบายที่ไต้หวันให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ได้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัด เป็นผลอันเนื่องมาจากความมุ่งมั่นตั้งใจอันเด็ดเดี่ยว การวางแผนที่ละเอียดรอบคอบ และการดำเนินงานอย่างกระตือรือร้น โดยเฉพาะในปีนี้ เรือดำน้ำที่ผลิตเองในไต้หวันได้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดมากที่สุด

 

ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มดำเนินการต่อเรือดำน้ำ การปล่อย “เรือเจียอี้” ของสำนักงานป้องกันชายฝั่งทะเลขนาดระวางขับน้ำ 4,000 ตันลงน้ำ รวมถึงการส่งมอบเรือลาดตระเวณเพื่อการป้องกันชายฝั่งทะเลที่จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรือจะเป็นการส่งมอบเรือวางทุ่นระเบิดความเร็วสูง ซึ่งสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น ล้วนเป็นการแสดงให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาเรือรบที่ผลิตเองในประเทศของไต้หวัน กำลังมุ่งสู่การพัฒนาอย่างเต็มกำลังและในทุกมิติ

 

เรือทั้ง 2 ลำในพิธีครั้งนี้ต่างเปี่ยมด้วยสมรรถนะความเร็วสูง ในจำนวนนี้ เรือลาดตระเวน Tuo River class corvette ได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูงจากนานาชาติ หลังจากที่เรือลาดตระเวณรุ่นเดิมได้ผ่านการเสริมสร้างสมรรถนะแล้ว ทำให้มีอานุภาพการทำลายล้างสูงขึ้น ส่วนเรือวางทุ่นระเบิดก็สามารถปฏิบัติภารกิจในการวางทุ่นระเบิดในน่านน้ำทะเล ท่าเรือ และสมรภูมิรบในพื้นที่ต่างๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น ปธน.ไช่ฯ เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้ามีส่วนร่วมของเรือรบทั้ง 2 ลำข้างต้นนี้ จะเปี่ยมด้วยความหมายที่สำคัญที่สามารถช่วยยกระดับศักยภาพด้านกลาโหมให้ก้าวไปสู่อีกขั้นได้อย่างแน่นอน

 

ในปัจจุบัน ภายใต้นโยบายเรือรบที่ผลิตในประเทศของไต้หวัน อุปกรณ์ภายในและชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ที่ผลิตในประเทศก็ได้รับการพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอนาคต ไต้หวันอาจก้าวสู่การเป็นซัพพลายเออร์ด้านอุปกรณ์และชิ้นส่วนอะไหล่ที่เกี่ยวข้อง ให้กับประเทศประชาธิปไตยในซีกโลกตะวันตกต่อไป

 

นี่เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นเรือลำใหญ่หรือลำเล็ก พวกเราก็มีศักยภาพในการบรรลุผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม พวกเรามีความมุ่งมั่นและความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุภารกิจการต่อเรือรบด้วยตนเอง เพื่อให้ทั่วโลกประจักษ์เห็นถึงศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมกลาโหมของพวกเรา

 

นอกจากนี้ การผลักดันเรือรบที่ผลิตในไต้หวันนอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่ในการปกป้องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของเราแล้ว ยังเป็นการยกระดับศักยภาพและเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมกลาโหมและการต่อเรือ อีกทั้งยังเป็นการบ่มเพาะบุคลากรภายในประเทศที่เป็นของเราเองอีกด้วย