สาระสำคัญของเนื้อข่าว :
♦ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. CECC ประกาศว่า ไต้หวันพบกรณีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด – 19 ในประเทศจำนวน 1 ราย ซึ่งผู้ป่วยรายนี้นับเป็นรายที่ 771 เป็นหญิงวัย 30 ปีเศษ และเป็นเพื่อนของผู้ป่วยรายที่ 765
♦ ในระหว่างวันที่ 8 – 12 ธ.ค. ผู้ป่วยรายที่ 765 ซึ่งเป็นนักบินสัญชาตินิวซีแลนด์ได้เดินทางไปทำกิจกรรมยังสถานที่สาธารณะหลายแห่ง (ข้อมูลตามภาพ) จึงขอเตือนให้ประชาชนที่เดินทางเข้า – ออกยังสถานที่ดังที่ระบุในภาพต้องเฝ้าสังเกตอาการด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด
♦ สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยรายที่ 765 ไม่แจ้งประวัติการทำกิจกรรมในไต้หวันและประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นตามความเป็นจริง อาจเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยการป้องกันโรคระบาดของไต้หวัน
-------------------------------------------
CECC วันที่ 22 ธ.ค. 63
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคระบาด (Central Epidemic Command Center, CECC) ประกาศว่า ไต้หวันพบกรณีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด – 19 ในประเทศจำนวน 1 ราย ซึ่งผู้ป่วยรายนี้นับเป็นรายที่ 771 เป็นหญิงวัย 30 ปีเศษ และเป็นเพื่อนของผู้ป่วยรายที่ 765 ที่ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากในขณะที่ทำการสอบสวนประวัติ ผู้ป่วยรายที่ 765 กล่าวอ้างว่า ตนไม่สามารถย้อนนึกถึงประวัติกิจกรรมก่อนหน้านี้ ประกอบกับไม่เคยระบุว่ามีการติดต่อสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ 771 มาก่อน หลังจากที่ทางหน่วยงานตำรวจได้ทำการตรวจสอบร่องรอยการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ในไต้หวันของผู้ป่วยรายที่ 765 แล้ว พบว่า ในระหว่างวันที่ 7 – 12 ธ.ค. ผู้ป่วยรายนี้ได้มีการไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ 771 จึงได้กำหนดให้ผู้ป่วยรายที่ 771 เป็นผู้ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผู้ป่วยรายที่ 771 ได้เข้ารับการตรวจคัดกรองในหน่วยงานสาธารณสุขของไต้หวันเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. พบว่าผลตรวจยืนยันเป็นบวก
CECC แถลงว่า เพื่อย้อนประวัติการทำกิจกรรมภายในไต้หวัน และประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นของผู้ป่วยรายที่ 765 ซึ่งเป็นนักบินสัญชาตินิวซีแลนด์ ในระหว่างวันที่ 8 – 12 ธ.ค. หลังจากที่หน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานตำรวจได้ทำการสำรวจประวัติการเดินทางภายในไต้หวันของผู้ป่วยรายดังกล่าวแล้ว พบว่า ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ป่วยรายนี้ได้เดินทางไปทำกิจกรรมยังสถานที่สาธารณะหลายแห่ง (ข้อมูลตามภาพ) จึงขอเตือนให้ประชาชนที่เดินทางเข้า – ออกยังสถานที่ดังที่ระบุในภาพต้องเฝ้าสังเกตอาการด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด หากเกิดอาการต้องสงสัยก่อนวันที่ 25 ธ.ค. ควรสวมหน้ากากอนามัยและรีบเดินทางไปพบแพทย์ในสถานพยาบาลชุมชนที่ทางรัฐบาลกำหนดไว้ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยว่าควรเข้ารับการตรวจคัดกรองหรือไม่
CECC ชี้แจงว่า สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยรายที่ 765 ไม่แจ้งประวัติการทำกิจกรรมในไต้หวันและประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นตามความเป็นจริง อาจเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยการป้องกันโรคระบาดของไต้หวัน โดยตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันโรคระบาด มาตราที่ 43 ระบุว่า ผู้ป่วยติดเชื้อโรคระบาดหรือผู้ป่วยที่มีอาการต้องสงสัยไม่สามารถปฏิเสธในการให้ความร่วมมือ หลีกเลี่ยงหรือขัดขวางการตรวจคัดกรอง การตรวจสอบ หรือการดำเนินการตามมาตรการที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าผู้ป่วยรายนั้นๆ ขัดขืน จงใจหลีกเลี่ยง หรือขัดขวางการดำเนินการตามขั้นตอนการป้องกันโรคระบาด ต้องระวางโทษปรับเป็นเงินตั้งแต่ 60,000 – 300,000 เหรียญไต้หวัน ตามมาตราที่ 67 วรรค 1 วงเล็บ 3
CECC แถลงเพิ่มเติมว่า ขณะนี้หน่วยงานสาธารณสุขได้ทำการตรวจสอบประวัติผู้สัมผัสกับผู้ป่วยรายที่ 771 ซึ่งพบว่ามีจำนวนรวม 167 คน ในจำนวนนี้ มี 13 คนที่ถูกกำหนดให้กักตัวในเคหสถาน อีก 154 คนเฝ้าสังเกตการณ์อาการด้วยตนเอง โดยผู้สัมผัสทั้งหมดต้องเข้ารับการตรวจคัดกรอง ซึ่งในขณะนี้ มี 21 คนกำลังอยู่ระหว่างการเข้ารับการตรวจคัดกรอง อีก 146 คนยังคงรอสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ หน่วยงานสาธารณสุขยังได้เข้าทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ส่วนรวมในสถานที่ทำงานของผู้ป่วยรายที่ 771 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้างต่อไป