กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 14 ก.ค. 64
ในช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ในอินโดนีเซีย ทวีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับศักยภาพด้านการแพทย์ในพื้นที่ไม่เพียงพอ กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) จึงได้ตัดสินใจบริจาคเครื่องผลิตออกซิเจนจำนวน 200 เครื่องให้กับรัฐบาลอินโดนีเซีย เพื่อแสดงออกถึงความห่วงใยทางมนุษยธรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา นายเถียนจงกวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีบริจาค โดยมี Mr. Budi Santoso ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าอินโดนีเซียประจำไต้หวัน ทำหน้าที่เป็นตัวแทนรับมอบในพิธี ซึ่งพิธีบริจาคในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงสัมพันธภาพอันดีงามระหว่างไต้หวัน – อินโดนีเซีย และยังสำแดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของ “การถือมนุษย์เป็นศูนย์กลาง” ตามนโยบายมุ่งใต้ใหม่
รมช.เถียนฯ กล่าวในระหว่างพิธีว่า นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 เป็นต้นมา ไต้หวันได้จับตาติดตามสถานการณ์ล่าสุดของการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ซึ่งรวมถึงอินโดนีเซียด้วยมาโดยตลอด จึงพร้อมยินดีที่จะแบ่งปันประสบการณ์ด้านการป้องกันโรคระบาดและส่งมอบเวชภัณฑ์การป้องกันโรคระบาดที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีความยินดีที่จะประสานความร่วมมือในการสกัดกั้นโรคระบาดกับกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งในขณะนี้ สถานการณ์โควิด – 19 ในอินโดนีเซียค่อนข้างรุนแรง กต.ไต้หวันจึงได้เร่งทำการจัดเตรียมเครื่องผลิตออกซิเจนที่ผลิตในไต้หวัน จำนวน 200 เครื่อง ซึ่งได้ส่งถึงท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตาแล้วในวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถช่วยบรรเทาความขาดแคลนเครื่องผลิตออกซิเจนในพื้นที่ นอกจากนี้ รมช.เถียนฯ ยังเน้นย้ำว่า ตนหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเสริมสร้างความร่วมมือแบบเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันระหว่างไต้หวันกับนานาประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เพื่อเร่งฟื้นฟูให้การดำเนินชีวิตของประชาชนกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
ผอญ. Budi กล่าวขณะปราศรัยว่า ต้องขอขอบคุณสำหรับความห่วงใยและการส่งมอบความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมของไต้หวันในครั้งนี้ พร้อมกล่าวอีกว่า ขณะนี้ เครื่องผลิตออกซิเจนที่ไต้หวันได้บริจาคให้จำนวน 200 เครื่อง ได้ส่งมอบให้สำนักงานป้องกันภัยพิบัติแห่งชาติ (BNPB) ของอินโดนีเซีย และกระทรวงสาธารณสุขแห่งอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองหน่วยงานจะดำเนินการจัดสรรอย่างเหมาะสม โดยจะส่งต่อให้กับสถานพยาบาลในพื้นที่ที่มีความต้องการอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ เพื่อสร้างคุณประโยชน์สูงสุดให้กับสาธารณชนชาวอินโดนีเซียต่อไป
