กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 15 ก.ค. 64
เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ร่วมลงนามใน “ความตกลงว่าด้วยการให้บริการขนส่งทางอากาศ ระหว่างไต้หวัน - เยอรมนี” ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยให้มีผลบังคับใช้ทันทีหลังเสร็จสิ้นการลงนาม โดยการลงนามในครั้งนี้มีนายเซี่ยจื้อเหว่ย ผู้แทนรัฐบาลไต้หวันประจำเยอรมนี และ Dr.Thomas Prinz ผู้อำนวยการใหญ่สถาบันเยอรมนีในไต้หวัน ร่วมลงนามแบบข้ามดินแดน จากกรุงเบอร์ลินและกรุงไทเป โดยมีนายหวังกั๋วฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไต้หวัน เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน นอกจากนี้ Mr. Steffen Bilger รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของรัฐบาลเยอรมนี ก็ได้ร่วมกล่าวคำอวยพรผ่านการบันทึกวีดิทัศน์ล่วงหน้าด้วยเช่นกัน
เพื่อเสริมสร้างความสะดวกในการขนส่งทางอากาศ ระหว่างไต้หวัน – เยอรมนี ตามระเบียบที่ระบุไว้ใน “ความตกลงว่าด้วยการให้บริการขนส่งทางอากาศ ระหว่างไต้หวัน – เยอรมนี” ทั้งไต้หวัน – เยอรมนีจะเพิ่มจำนวนรอบการขนส่งผู้โดยสารจากเดิม 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ มาเป็น 11 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และเพิ่มจำนวนรอบการขนส่งสินค้าจากเดิม 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ มาเป็น 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ เที่ยวบินขนส่งสินค้าทางอากาศที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ยังได้เปิดให้มีเสรีภาพทางอากาศระดับที่ 3 , 4 และ 5 โดยเนื้อหาความตกลงได้อ้างอิงตามระเบียบที่ปรากฎในกรณีต้นแบบขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการขนส่งทางอากาศและการเชื่อมต่อกับนานาชาติแบบทวิภาคีในภายภาคหน้าต่อไป
เยอรมนีเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวันในภูมิภาคยุโรป นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา ทั้งสองฝ่ายได้ทยอยลงนามความตกลงระหว่างกันในหลากหลายด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงาน นวัตกรรมใหม่ๆ ของผู้ประกอบการ SMEs การแลกเปลี่ยนใบขับขี่รถยนต์ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม ตลอดจนยังร่วมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งทั้งสองประเทศถือเป็นประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน การลงนามในความตกลงว่าด้วยการให้บริการขนส่งทางอากาศแบบทวิภาคีในครั้งนี้ ได้ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ใจกลางของภูมิภาคยุโรป ในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างไต้หวัน - เยอรมนี และไต้หวัน – EU เพื่อยกระดับความสะดวกในการไปมาหาสู่ทางอากาศระหว่างผู้คนและพัสดุสินค้าในอนาคตต่อไป