คานและเสาจากอาคารบ้านเรือนเก่าๆ, กระดานซักผ้าที่ทิ้งแล้ว, เศษวัสดุจากโรงงานอุตสาหกรรม... เศษขยะที่ไม่ใช้แล้วในสายตาของคนอื่นเหล่านี้ สำหรับศิลปินที่ชื่อ มาเด สุการีอาวัน (Made Sukariawan) กลับเห็นเป็นสิ่งล้ำค่า เขาหยิบมีดแกะสลักขึ้นมารังสรรค์ขยะให้กลายเป็นผลงานศิลปะอันวิจิตร มีทั้งเทพเจ้าและพระพิฆเนศ ลายไม้ เป็นรอยย่นของงวงช้าง เปลือกไม้แห้ง กลายเป็นหนวดเคราของเทพเจ้าเยว่เหล่าหรือผู้เฒ่าจันทรา คุณมาเดทำให้ตำหนิของมันกลายเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบ ราวกับใช้เวทมนตร์เสก
ช่วงเกือบเที่ยงบนถนนอู่เฟยในนครไถหนาน เราได้ยินเสียงดังจากของแข็งที่กระทบลงบนไม้ เมื่อเข้าไปมองใกล้ๆ จะเห็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำผิวคล้ำกำลังแกะสลักไม้ให้เป็นรูปร่างแปลกๆ อยู่ เมื่อหยิบกองขี้เลื่อยที่อยู่บนพื้นขึ้นมา จะได้กลิ่นหอมของการบูรทันที พอมองไปรอบๆ ก็จะเห็นผลงานแกะสลักที่ดูงดงามแปลกตามากมายเรียงรายภายในบ้าน ทั้งสิงโตคาบดาบของไถหนาน, นกกระเรียนขาวตัวน้อยของจินซาน, พระพิฆเนศของอินเดีย, ปลาแอโรวานา ฯลฯ ดูแล้วราวกับเป็นอาร์ตแกลเลอรีขนาดย่อม สถานที่ที่ให้ผู้คนได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างเต็มที่แห่งนี้ คือสตูดิโองานแกะสลักไม้ Made ของคุณมาเด ศิลปินจากเกาะบาหลี และคุณหงหลิงฟาง (洪玲方) ภรรยา ซึ่งดูแลร่วมกัน
ไม้ คือเพื่อนเล่นในวัยเด็ก
เมื่อพูดถึงโชคชะตาของเขากับงานแกะสลักไม้ คุณมาเดเล่าว่า “ผมเริ่มเรียนแกะสลักไม้ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ไม้ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมมาโดยตลอด” เนื่องจากคุณพ่อเป็นช่างไม้ ตั้งแต่เด็ก บ้านของคุณมาเดจึงเต็มไปด้วยชิ้นไม้กลาดเกลื่อนไปทุกที่ ลายไม้และการได้สัมผัสความหนาของไม้เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจคุณมาเดในวัยเด็กอย่างไม่อาจพรรณนาได้ คุณมาเดบอกกับพ่อตรงๆ ถึงความตั้งใจที่อยากจะเรียนแกะสลักไม้ คำขอร้องของเด็กน้อยที่ไม่อาจทัดทานได้นี้ ทำให้คุณพ่อพาเขาไปฝากตัวเป็นศิษย์ของช่างแกะสลักไม้ที่โรงงานใกล้ๆ จึงถือเป็นการผูกโชคชะตาของเขากับงานไม้นับแต่นั้นเป็นต้นมา
คุณมาเดไปที่โรงงานทุกวัน โดยทำหน้าที่ลับมีดและช่วยอาจารย์เก็บกวาดสถานที่ทำงาน หลังจากผ่านไป 1 เดือน ในที่สุด เขาก็ได้เริ่มเรียนรู้การแกะสลักจากเศษไม้ที่ไม่ใช้แล้ว คุณมาเดเล่าว่า ในตอนนั้นไม้ที่สามารถนำมาฝึกได้มีเพียงไม้มะเกลือเนื้อแข็งๆ ด้วยความที่มือใหม่จึงไม่รู้ว่าต้องควบคุมแรงกดใบมีดยังไง จึงเผลอทำมีดหักอยู่บ่อยๆ จนถูกอาจารย์ดุ เขาฝึกฝนซ้ำๆ อยู่นานกว่า 2 สัปดาห์ หลังจากอาจารย์ให้การยอมรับแล้ว จึงได้ฝึกทักษะขั้นสูงขึ้น ในตอนนั้นคนอื่นๆ ทนไม่ไหว เบื่อแล้วก็ล้มเลิกไป แต่คุณมาเดกลับยิ่งเรียนยิ่งกระตือรือร้น ขนาดวันเสาร์-อาทิตย์ทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะไปที่โรงงานเพื่อฝึกฝนทักษะพื้นฐานอย่างเอาจริงเอาจังและมีวินัย
หลังจากเรียนที่โรงงานได้ 1 ปีกว่า ในที่สุด คุณมาเดก็แกะสลักผลงานชิ้นแรกเป็นรูปพระรามและนางสีดา ซึ่งถือเป็นร่างอวตารเทพสัญลักษณ์แห่งความรักในศาสนาฮินดู หลังจากทำผลงานชิ้นนี้เสร็จ อาจารย์มอบเงินให้เขา 400 รูเปียห์อินโดนีเซีย ถึงแม้ว่าจะมีค่าไม่ถึง 1 บาทในปัจจุบันก็ตาม แต่เขาก็ตื่นเต้นดีใจวิ่งกลับบ้านไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง เพราะเป็นที่ประจักษ์ว่า ได้รับการยอมรับจากอาจารย์ในผลการเรียนครั้งนั้น ซึ่งไม่อาจตีค่าเป็นตัวเงินได้
รักโรแมนติกที่ได้ท่องโลกไปด้วยกัน
หลังจากเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณมาเดเลือกที่จะไปทำงานที่รีสอร์ตระดับอินเตอร์เนชันแนล ด้วยความที่เขามีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะจึงได้ทำหน้าที่สอนวาดภาพบนผ้าไหม และยังเคยเป็นเทรนเนอร์สอนออกกำลังกายอีกด้วย เขาได้ฝึกฝนและทำงานอย่างหนักหลายตำแหน่งในรีสอร์ต ท้ายที่สุดก็ได้ย้ายไปอยู่แผนกอาหารและเครื่องดื่ม ในตำแหน่งพ่อครัว
ช่วงเวลาที่ทำงานในรีสอร์ต ถึงแม้จะทำให้เขาห่างเหินไปจากการแกะสลักไม้ แต่ก็ทำให้เขาได้รู้จักกับคู่ชีวิต หงหลิงฟาง สาวไต้หวันซึ่งทำงานที่รีสอร์ตนี้เช่นเดียวกัน ทั้งสองรักกันและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน
คุณหงหลิงฟางเล่าว่า แต่ละปีบริษัทจะส่งพนักงานไปทำงานในที่ใหม่ โชคดีที่หลังจากทั้งสองคบหากัน ก็มักได้ย้ายไปทำงานที่รีสอร์ตเดียวกัน ทำให้ได้เดินทางไปยังเกาะบาหลีและเกาะบินตันของอินโดนีเซีย เชอราติงในมาเลเซีย เกาะอิชิกากิของญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งตอนทำงานที่เกาะภูเก็ตของไทยพวกเขาได้ประสบกับเหตุการณ์สึนามิในเอเชียใต้ “เราเห็นผู้คนมากมาย ซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยโคลนและรอยเลือดวิ่งมาที่เคาน์เตอร์ มีแต่เสียงกรีดร้องไปทุกหนทุกแห่ง เหมือนกับกำลังเห็นภาพของสงคราม” คุณหงหลิงฟางกล่าว
หลังผ่านพ้นภัยพิบัติใหญ่หลวงครั้งนั้น คุณหงหลิงฟางบอกว่า มุมมองเรื่องชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ก็เปลี่ยนแปลงไป “ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตา ไม่ต้องไปฝืน อะไรที่เป็นของคุณ มันก็จะเป็นของคุณ” หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ถูกส่งไปทำงานที่เกาะอิชิกากิ และมัลดีฟส์ หลังจากที่ทำงานในต่างประเทศนานถึงสิบปี คุณหงหลิงฟางเกิดความรู้สึกอยากจะกลับบ้านแล้ว ประจวบกับมีเพื่อนแนะนำงานที่ไต้หวันให้เธอพอดี คุณมาเดจึงตัดสินใจตามคนรัก ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันที่ไต้หวัน
กลับมาจับมีดแกะสลัก เหมือนได้กลับมาตามหาความฝัน
หลังจากกลับมาอาศัยอยู่ในไต้หวัน คุณหงหลิงฟางมักจะพาคุณมาเดไปเยี่ยมชมศาลเจ้าและพิพิธภัณฑ์อยู่เป็นประจำ พอได้เจออาจารย์ช่างแกะสลักไม้ คุณมาเดก็มักอดไม่ได้ที่จะเข้าไปชวนคุย เช่น คุยเรื่องศิลปะการแกะสลักของไต้หวัน สถานการณ์ของวงการนี้ในปัจจุบันและอื่นๆ อีกมากมาย เขาได้รู้จากปากของอาจารย์ว่า วัยรุ่นไต้หวันขาดความสนใจที่จะสืบทอดศิลปะการแกะสลักไม้ จึงจุดประกายในตัวของคุณมาเดที่มีต่องานแกะสลักไม้ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ความทรงจำเกี่ยวกับการแกะสลักปะทุขึ้นมาในจิตใจของคุณมาเด แต่สิ่งที่ทำให้เขากลับมาจับมีดแกะสลักได้จริงๆ นั้น คือตอนที่แม่ยายเดินทางขึ้นมาเยี่ยมพวกเขาที่ไทเป ได้แวะไปเห็นงานแกะสลักหัวมังกรที่ศาลเจ้าจื่อหนานกงแล้วรู้สึกชื่นชอบมากและได้ถ่ายรูปมาด้วย แม่ยายขอร้องให้คุณมาเดช่วยแกะสลักให้ ถึงขนาดตั้งใจหาไม้มาเองและส่งมาให้ที่ไทเป เพื่อทำตามคำขอของแม่ยาย คุณมาเดจึงใช้เวลาที่เหลือจากการทำงานมาแกะสลัก โดยแกะสลักอย่างประณีตบรรจง ใช้เวลานาน 3 สัปดาห์ก็แกะสลักหัวมังกร 1 ชิ้นได้สำเร็จ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณมาเดก็เข้าสู่โลกของการแกะสลักไม้อย่างลึกซึ้งจนถอนตัวไม่ขึ้น เขาเอาเวลานอกเหนือจากการทำงานทั้งหมดไปทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ผลงานแกะสลัก รับออร์เดอร์ตามความต้องการของลูกค้า และรับเชิญไปเป็นวิทยากร ความฝันในวัยเด็กของคุณมาเดค่อยๆ ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ก่อตั้งสตูดิโองานแกะสลักไม้ Made ขึ้น
แปลงเศษขยะให้เป็นผลงานอันน่าเหลือเชื่อ
ทุกวันตอนเช้า คุณมาเดซึ่งนับถือศาสนาฮินดูจะสักการะบูชาพระพิฆเนศ “ขอกราบขอบพระคุณพระองค์ที่ช่วยดลบันดาลให้พวกเรามีชีวิตที่ดี” จากนั้นก็หยิบไม้แต่ละชิ้นที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา ทั้งที่ยังไม่ได้แกะ และแกะไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทะนุถนอมมันราวกับลูก เคาะพวกมันเพื่อสัมผัสถึงคุณภาพของไม้ ชื่นชมรูปร่างและลวดลายของมัน แล้วพินิจพิจารณาดูว่าในวันนั้นมีแรงบันดาลใจกับไม้ชิ้นไหน ก็จะลงมือแกะสลักไม้ชิ้นนั้น ผลงานของคุณมาเดจะไม่มีการวาดแบบร่าง และจะไม่ตัดไม้เพื่อให้เป็นรูปทรงตามต้องการ แต่เขาจะดูจากลักษณะดั้งเดิมของไม้ แล้วจึงเกิดไอเดียในการสร้างสรรค์รูปแบบที่เหมาะสมกับไม้ชิ้นนั้นมากที่สุด เขามักพูดแบบติดตลกว่า แกะสลักไม้ใช้เวลาเสร็จเร็ว ถ้าจะช้าก็เพราะมัวแต่เสียเวลาคิดว่าจะแกะอะไรยังไงดี
คุณมาเดไม่เหมือนช่างแกะสลักดั้งเดิมของไต้หวัน ซึ่งชอบไม้ที่มีรูปร่างสมบูรณ์และมีคุณภาพดี แต่เขากลับชอบไม้ที่คนอื่นมองข้ามโดยไม่เห็นคุณค่า เขานำคานที่ถูกทิ้งแล้ว 2 อัน มาประกอบเข้ากับแผ่นไม้กระดานซักผ้าที่ทิ้งแล้ว โดยแกะสลักให้เป็นเทวดา 2 องค์ องค์หนึ่งใบหน้าเหลี่ยม อีกองค์หนึ่งใบหน้ากลม ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อตรงและความปรองดอง เปลือกไม้ที่คนทั่วไปมองว่าผุพัง แต่ในสายตาของคุณมาเด กลายเป็นเส้นผมและหนวดเครา แกะสลักให้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวที่มีหน้าตา ตั้งชื่อผลงานว่า “เทพเจ้าเยว่เหล่า” คุณมาเดนำไม้ที่ถูกลมกัดเซาะผุจนเป็นรูมาแกะสลักเป็นพระพิฆเนศ ส่วนของเปลือกไม้ทำให้เป็นมงกุฎ ลายไม้ตามธรรมชาติอยู่บนส่วนของงวงช้างกลายเป็นรอยย่นของผิวหนังอย่างพอดิบพอดี รูบนไม้กลายเป็นปากและใบหูของช้าง เขาตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า “พระพิฆเนศปางไม่จำกัด” (Unlimited Ganesha)
ชื่นชอบในของเก่า
นอกเหนือจากการสร้างผลงานศิลปะแล้ว คุณมาเดยังเป็นคนที่ชื่นชอบในของเก่า และการซ่อมแซมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อีกด้วย คุณมาเดและภรรยาชอบสะสมตู้ไม้เก่าๆ เขาขัดสีที่เคลือบไม้ออกไปจนเห็นลายไม้สวยๆ ที่มีอยู่เดิม ทำให้ตู้กับข้าวที่มีอายุเก่าแก่ราว 70 ปี เปลี่ยนโฉมกลายเป็นตู้โชว์สไตล์พื้นบ้าน คุณมาเดกล่าวว่า “ผมชื่นชอบของเก่ามากๆ พอได้นำมันมาซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดเสร็จ ผมจะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จที่ได้ทำให้พวกมันกลับมามีชีวิตใหม่ ไม่ถูกทิ้งไปอย่างสิ้นเปลือง”
ตอนที่เพิ่งย้ายมาอยู่นครไถหนานใหม่ๆ ทุกอย่างยังจับต้นชนปลายไม่ถูก สองสามีภรรยาทดลองทำทุกวิถีทางเพื่อโอกาสในการแสดงความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสอนแกะสลักไม้, จัดนิทรรศการ, เปิดร้านค้าแผงลอยในตลาดนัด ฯลฯ หลังจากทดลองไปสักระยะหนึ่งแล้ว คุณหงหลิงฟางก็พบว่า การสร้างสรรค์ผลงานในแบบแสดงสดคืออัตลักษณ์ของคุณมาเด จึงสนับสนุนให้เขาแกะสลักแบบตามใจชอบ ไม่จำเป็นต้องเอาใจใคร ดังนั้น คุณมาเดจึงแกะสลักพระพิฆเนศปางต่างๆ รวมถึงช้างที่มีลายจักระ ขนาดเทพขุยซิงที่เขาส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดประติมากรรมพระพุทธรูป คุณมาเดยังเพิ่มพวงมาลัยของพระพิฆเนศเข้าไปด้วยความขี้เล่นของเขา ความคิดแปลกใหม่เหล่านี้ทำให้ผลงานของคุณมาเดโดดเด่นไม่เหมือนใครและดูมีชีวิตชีวา
คุณหงหลิงฟางบอกว่า เวลามาเดเห็นไม้ เขาจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเหมือนเด็กเห็นของเล่น ถึงแม้ตอนนี้เขาจะอายุกว่า 50 ปีแล้วก็ตาม และเมื่อพูดถึงการแกะสลักไม้ขึ้นมาทีไร มาเดจะยิ้มกว้างราวกับเด็กหนุ่มที่ฮึกเหิม อดไม่ได้ที่จะแบ่งปันจินตนาการอันบรรเจิดของเขา ขอแค่คนเรามีความฝัน และกล้าที่จะไล่ตามความฝัน ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้