ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 19 ต.ค. 64
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วม “’งานแถลงข่าวเปิดตัวแบรนด์สตาร์ทอัพ NEXT BIG” โดยปธน.ไช่ฯ ชื่นชมผู้ประกอบการทั้ง 9 รายที่ได้รับคัดเลือกเป็น “ทีมชาติสตาร์ทอัพ” กลุ่มแรกของไต้หวัน และถือเป็นกลุ่มตัวอย่างที่จะเป็นต้นแบบให้กับคนรุ่นหลังต่อไป โดยรัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นกองหนุนผู้ประกอบการในประเทศ ด้วยการบูรณาการทรัพยากร ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมทั้งผลักดันให้ไต้หวันก้าวสู่การเป็น “เกาะแห่งสตาร์ทอัพ” ต่อไป
ปธน.ไช่ฯ กล่าวระหว่างการปราศรัยว่า ตนขอร่วมแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการ 9 รายที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพกลุ่มแรกที่ได้ก้าวขึ้นสู่เวทีนานาชาติในฐานะต้นแบบแห่งธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยกลุ่มผู้ประกอบการทั้ง 9 รายนี้ มิใช่เป็นเพียงกลุ่มที่ได้รับคัดเลือกในครั้งนี้เท่านั้น หากแต่ยังเป็นเสมือนกองหน้าที่จะนำพาให้ไต้หวันเชื่อมโยงเข้ากับนานาชาติต่อไป
ศักยภาพการแข่งขันด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของไต้หวัน ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับ 8 ของโลก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ไต้หวันได้ก้าวสู่ 10 อันดับแรกของโลก โดยที่ในประเภท “อัตราส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาโดยเฉลี่ยของประเทศ” นั้น ไต้หวันได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับ 1 ของโลกด้วย
การที่ไต้หวันมีผลสัมฤทธิ์ที่ดีเช่นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากแผนแม่บทว่าด้วยกลยุทธ์ทางอุตสาหกรรมที่รัฐบาลวางแผนไว้อย่างครอบคลุม อีกส่วนหนึ่งมาจากการที่ไต้หวันมีกลุ่มผู้ประกอบการดีเด่น ที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจสตาร์ทอัพของไต้หวันก้าวไปสู่ทิศทางที่มีความเป็นไปได้
นอกจากนี้ ไต้หวันยังได้ดำเนิน “โครงการเอเชียซิลิคอนวัลเลย์ 2.0” (The Asia Silicon Valley Development Plan 2.0) ซึ่งได้บูรณาการทรัพยากรจากทุกภาคส่วนเข้าไว้ด้วยกัน โดยทรัพยากรเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการเปิดช่องทางการระดมเงินทุนที่หลากหลายสำหรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ อีกทั้งยังเป็นการเร่งพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพไปในตัวอีกด้วย
นอกจากการสนับสนุนทางนโยบายแล้ว ก็ยังต้องอาศัยพลังความคิดสร้างสรรค์และการปฏิบัติการของผู้ประกอบการ จึงจะสามารถขยายอาณาจักรแห่งอุตสาหกรรมสตาร์ทอัพของไต้หวัน ให้เป็นไปตามอย่างที่คาดหวังไว้
ปธน.ไช่ฯ ยังชี้ด้วยว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าสู่ “NEXT BIG” ในครั้งนี้ แม้มิได้เกิดและเติบโตในไต้หวัน แต่กลับเลือกที่จะสตาร์ทตนเองออกจากไต้หวัน ไปสู่เวทีนานาชาติ จึงถือเป็นความภูมิใจของไต้หวันเช่นกัน