ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 26 เม.ย. 65
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 26 เม.ย. ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าตรวจการณ์ศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคระบาด (CECC) ของไต้หวัน พร้อมระบุว่า การคำนึงถึงหลักการป้องกันโรคระบาด การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และวิถีการดำเนินชีวิตของภาคประชาสังคม ก็ยังเป็นเป้าหมายหลักของพวกเรา เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ปธน.ไช่ฯ จึงได้ชี้แนะ 4 มาตรการป้องกันโรคระบาด ได้แก่ “เสริมสร้างกลไกการดูแลและคัดแยกผู้ป่วยอาการหนัก – เบา รับประกันศักยภาพการรักษาพยาบาลที่เพียงพอต่อความต้องการ” “การจำหน่ายชุดตรวจโควิด-19 ด้วยตนเอง (ATK) แบบยืนยันตัวตน” “สอบสวนโรคเฉพาะกรณีสำคัญ” และ “ยกระดับอัตราการฉีดวัคซีนของประชาชนในไต้หวัน ให้ครอบคลุมอย่างทั่วถึง” โดยปธน.ไช่ฯ เรียกร้องให้ประชาชน “ให้ความร่วมมือกับแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันโรคระบาดและตั้งสติให้ดี” “ระแวดระวังแต่ไม่วิตกกังวลจนเกินกว่าเหตุ” พร้อมประสานสามัคคีในการป้องกันโรคระบาด ตลอดจนร่วมสรรค์สร้างสังคมไต้หวันที่เปี่ยมด้วยความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นต่อไป
การกล่าวสุนทรพจน์ของปธน. ไช่ฯ ต่อสาธารณชนในประเทศในครั้งนี้ มีสาระสำคัญ ดังนี้
วันหยุดแรงงานสากลที่ตรงกับวันที่ 1 พ.ค. ของทุกปีใกล้เวียนมาถึง ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทั้ง CECC และเจ้าหน้าที่ป้องกันโรคระบาดที่ปฏิบัติภารกิจอยู่แนวหน้า ยังคงยืนหยัดในหน้าที่อย่างแข็งขัน การเดินทางมาเยือน CECC ในครั้งนี้ นอกจากการมารับฟังรายงานสถานการณ์ล่าสุดของโรคระบาดแล้ว ยังมาร่วมเป็นกำลังให้ทุกคน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ยอมเหน็ดเหนื่อยและอดทนทำงานเพื่อประเทศชาติ
ตลอดช่วงที่ผ่านมานี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 สายพันธุ์โอมิครอน แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออ้างอิงจากประสบการณ์ที่พบเห็นจากสถานการณ์โรคระบาดในประเทศอื่นๆ ประกอบกับการประเมินและพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ ปธน.ไช่ฯ ขอแจ้งเตือนให้ทุกท่านทราบว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคระบาดของไต้หวัน ยังไม่ถึงจุดสูงสุด สถานการณ์โรคระบาดในพื้นที่ทั่วประเทศยังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดผู้ป่วยยืนยันนับวันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น
หลายคนต่างวิตกกังวลว่า เชื้อไวรัสดูเหมือนใกล้ตัวเข้าไปทุกที แต่ถึงกระนั้น ปธน.ไช่ฯ ชี้แจงว่า ตราบจนปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศ นับตั้งแต่ต้นปีตราบจนปัจจุบัน ผู้ป่วยยืนยันกว่าร้อยละ 99.68 ล้วนเป็นผู้ป่วยอาการเบาหรือไม่แสดงอาการ มีเพียงร้อยละ 0.03 ที่เป็นผู้ป่วยอาการวิกฤต และมีเพียงร้อยละ 0.01ที่ถึงแก่ชีวิต จึงจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกิดจากสถานการณ์โรคระบาดค่อนข้างต่ำ ซึ่งในปัจจุบัน พวกเราก็ได้มุ่งมั่นในการเสริมสร้างกลไกการป้องกันและรักษาผู้ป่วยอาการปานกลางและอาการหนักอย่างกระตือรือร้น
เมื่อเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โรคโควิด – 19 CECC และคณะทำงานเฉพาะกิจต่างเร่งจับตาต่อสถานการณ์ล่าสุดอย่างใกล้ชิด โดยรัฐบาลจะเตรียมความพร้อมในทุกด้าน เพื่อรับมือกับความท้าทายในแต่ละลำดับขั้น และแต่ละสถานการณ์ต่อไป อย่างไรก็ตาม ปธน.ไช่ฯเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนที่เผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากโรคระบาด “ให้ความร่วมมือต่อแนวทางการป้องกันโรคระบาดและตั้งสติให้ดี” “ระแวดระวังแต่ไม่วิตกกังวลจนเกินกว่าเหตุ” และเนื่องด้วยคุณสมบัติของโรคโควิด – 19 สายพันธุ์โอมิครอน พวกเราจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ด้านการป้องกันโรคระบาดให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน หลายวันมานี้ รัฐบาลกลางและส่วนท้องถิ่นได้จัดการประชุมว่าด้วยการป้องกันโรคระบาดอย่างกระตือรือร้น โดยมีผู้เชี่ยวชาญให้คำชี้แนะในการปรับเปลี่ยนนโยบายที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ปธน.ไช่ฯ ระบุว่า การคำนึงถึงหลักการป้องกันโรคระบาด เศรษฐกิจ และวิถีการดำเนินชีวิตของภาคประชาสังคม ก็ยังเป็นเป้าหมายหลักของพวกเรา เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์โรคระบาด พวกเราต้องก้าวสู่อีกขั้นของมาตรการป้องกันโรคระบาด ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 มิติหลัก ดังนี้
1.พวกเราต้องเสริมสร้างกลไกการดูแลและคัดแยกผู้ป่วยอาการหนัก – เบา พร้อมรับประกันศักยภาพการรักษาพยาบาลที่เพียงพอต่อความต้องการ
โรงพยาบาลจะเปิดรับเฉพาะผู้ป่วยอาการปานกลาง – หนัก รวมถึงผู้ป่วยยืนยันที่มีความเสี่ยงสูง ส่วนผู้ป่วยยืนยันในกรณีอื่นๆ จะถูกส่งไปพักรักษาตัวในสถานกักกันโรค โรงแรมที่รองรับสำหรับการกักตัว หรือ เข้าสู่ระบบ“การดูแลที่บ้าน” ตามช่วงวัยและสถานการณ์ที่แตกต่าง
สำหรับผู้ป่วยอาการเบาหรือไม่แสดงอาการ ต้องกักตัวอยู่ในบ้านเพื่อรักษาตัว โดยหลังจากกักตัวเป็นเวลา 10 วันและแน่ใจว่าไม่มีอาการแล้ว จึงจะยกเลิกการกักตัวได้ แต่ยังคงต้องสังเกตการณ์อาการตนเองอย่างใกล้ชิดอีก 7 วัน
นอกจากนี้ การเตรียมพร้อมในด้านผลิตภัณฑ์ยาต้านไวรัส ก็ทยอยเข้าที่แล้ว ในปัจจุบัน ยาเรมเดซิเวียร์ (remdesivir) ที่ใช้รักษาผู้ป่วยอาการปานกลาง - หนัก ยังมีปริมาณสำรองที่เพียงพอ
2.การจำหน่ายชุดตรวจ โควิด-19 ด้วยตนเอง (ATK) แบบยืนยันตัวตน
ในเบื้องต้น พวกเราได้รวบรวมชุดตรวจ โควิด-19 ด้วยตนเอง (ATK) ได้แล้วกว่า 170 ล้านชุด ในจำนวนนี้ นอกจากจะสั่งซื้อจากต่างประเทศและรวบรวมจากกลุ่มผู้ประกอบการ รวมเป็นจำนวน 140 ล้านชุดแล้ว พวกเรายังได้จัดตั้ง “ทีมชาติชุดตรวจ ATK” มาช่วยผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ภายในประเทศ ซึ่งขณะนี้มีสินค้าคงคลังจำนวน 30 ล้านชุด และจะทยอยเข้ามาอีก 20 ล้านชุดในวันที่ 3 พ.ค. ด้วยเหตุนี้ ทางรัฐบาลจึงได้ตัดสินใจดำเนินการจำหน่าย “ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยตนเอง (ATK) แบบยืนยันตัวตน” โดยระยะเวลาที่แน่นอน ทางผู้บัญชาการ CECC จะประกาศให้ทราบในภายหลัง
เป้าหมายของพวกเราคือการจัดสรรทรัพยากรชุดตรวจ ATK ที่เพียงพอ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสมและวิธีการที่สะดวก เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคประชาสังคมอย่างทั่วถึง
3.สอบสวนโรคเฉพาะกรณีสำคัญ
แม้ว่าสายพันธุ์โอมิครอนจะลุกลามไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว แต่อาการหลังจากที่ได้รับเชื้อไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ประกอบกับระยะฟักตัวสั้น ด้วยเหตุนี้ ทาง CECC จึงได้ประกาศว่า นับตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย. เป็นต้นไป จะปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบาย “สอบสวนโรคเฉพาะกรณีสำคัญ” โดยจะยึดหลักการตีกรอบผู้สัมผัสให้แคบที่สุด โดยกำหนดให้คนที่มีประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันในช่วง 2 วันก่อนวันเกิดอาการ เข้ารับการกักตัวตามมาตรการ โดยนัยยะของคำว่าผู้สัมผัสใกล้ชิด ทาง CECC ก็ได้ทำการชี้แจงไว้อย่างละเอียดแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ผู้สัมผัสใกล้ชิดที่ถูกระบุว่าต้องทำการกักตัว ได้รับการลดจำนวนวันลงมาจาก 10 วันเป็น 3+4 วัน โดย 3 วันแรกต้องกักตัวในบ้าน ส่วน 4 วันถัดมาเป็นการสังเกตอาการตนเอง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าสู่ไต้หวัน ยังคงใช้มาตรการกักตัว 10+7 ตามเดิม
4. ยกระดับอัตราการฉีดวัคซีนของประชาชนในไต้หวัน ให้ครอบคลุมอย่างทั่วถึง
ขณะนี้ อัตราการฉีดวัคซีนของประชาชนในไต้หวันในเข็มแรกอยู่ที่ร้อยละ 84.57 เข็มที่ 2 อยู่ที่ 79.84 ส่วนเข็มที่ 3 อยู่ที่ 58.24
มีเพียงการยกระดับอัตราการฉีดวัคซีนของประชาชนในประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถเสริมสร้างความยืดหยุ่นของกลไกการป้องกันโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รายงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศระบุว่า ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ปธน.ไช่ฯ จึงเรียกร้องให้สมาชิกในครอบครัว ชักชวนผู้สูงอายุในครอบครัวเข้ารับวัคซีนกันอย่างถ้วนหน้า
การป้องกันโรคระบาดในลำดับขั้นนี้ รัฐบาลกลางและส่วนท้องถิ่นจะประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างหลักประกันให้กลุ่มผู้ป่วยในระบบการดูแลที่บ้าน หรือกักตัวในบ้าน หรือเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือในสถานกักกันโรค ให้ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีและมีความทั่วถึง ด้วยเหตุนี้ สภาบริหาร สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) จึงได้จัดการประชุมแบบข้ามหน่วยงาน เพื่อรวบรวมเวชภัณฑ์และบุคลากรที่จำเป็น
ในตอนท้าย ปธน.ไช่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งแต่ส่วนกลางไปจนถึงส่วนท้องถิ่น ตั้งแต่ภาครัฐไปจนถึงภาคเอกชน ที่ร่วมปกป้องรักษาสุขภาพของประชาชนในประเทศอย่างแข็งขัน
นอกจากนี้ ปธน.ไช่ฯ ยังขอขอบคุณประชาชนชาวไต้หวันทุกคน ที่ประสานสามัคคีในการป้องกันโรคระบาดร่วมกันตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ส่งผลให้ไต้หวันกลายเป็นจุดสนใจของประชาคมโลก เฉพาะในเดือนที่แล้ว ยอดการสั่งซื้อสินค้าจากไต้หวันได้ทุบสถิติในช่วงเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านๆ มา นอกจากนี้ อัตราการส่งออกยังได้มีการขยายตัวติดต่อกัน 25 เดือนแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาด เศรษฐกิจของไต้หวันยังคงได้รับการพัฒนาต่อไปอย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเรามีความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย