กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 7 ก.ค. 65
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ต่อผู้สื่อข่าวจากสื่อมวลชนระดับแนวหน้าของลิทัวเนียที่เดินทางมาเยือนไต้หวันพร้อมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการเกษตรแห่งสาธารณรัฐลิทัวเนีย ได้แก่ สถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติสาธารณรัฐลิทัวเนีย (LRT) สำนักข่าว ELTA สถานีโทรทัศน์ LNK และเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ DELFI สำนักข่าว 15min รวม 5 ราย โดยรมว.อู๋ฯ ได้กล่าวถึงประเด็นการประสานสามัคคีของประเทศประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านอำนาจเผด็จการ ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – ลิทัวเนีย การป้องกันประเทศของไต้หวัน และข้อคิดที่ได้รับจากสงครามรัสเซีย - ยูเครน โดยมีนายหวงจวินเหย้า ผู้แทนรัฐบาลไต้หวันในลิทัวเนียเข้าร่วมในการให้สัมภาษณ์ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งนี้ด้วย ซึ่งเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้ทยอยเผยแพร่ออกอากาศตามสื่อต่างๆ และได้รับกระแสตอบรับและความสนใจจากภาคประชาชนในลิทัวเนียและทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
รมว.อู๋ฯ ชี้ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากจีน ไต้หวันยินดีที่จะร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากการผนึกกำลังของภาคประชาชนและภาครัฐในการต่อต้านลัทธิอำนาจนิยม ให้แก่ลิทัวเนียและพันธมิตรด้านประชาธิปไตยทั่วโลก นอกจากนี้ ไต้หวันยังมุ่งมั่นที่จะเข้ามีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศอย่างกระตือรือร้น เพื่ออุทิศคุณประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้แก่ประชาคมโลก เช่นในช่วงเริ่มต้นของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ไต้หวันได้บริจาคอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ด้านการป้องกันโรคระบาดให่แก่นานาประเทศทั่วโลก เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไต้หวันเป็น “พลังแห่งความดี” (a force for good) ของสังคมโลก
รมว.อู๋ฯ ได้อ้างอิงบทความในทวิตเตอร์ของ Mr. Gabrielius Landsbergis รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของลิทัวเนีย ที่โพสต์ในช่วงระหว่างที่รัฐบาลลิทัวเนียได้บริจาควัคซีนเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจแก่ไต้หวัน โดยมีเนื้อความที่เน้นย้ำว่า “กลุ่มผู้ยึดมั่นในค่านิยมด้านเสรีภาพ สมควรที่จะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”(Freedom-loving people should look out for each other) พร้อมนี้ รมว.อู๋ฯ ยังได้ระบุว่า การที่ไต้หวัน – ลิทัวเนียประสานสามัคคีกัน เนื่องมาจากการที่ทั้งสองประเทศต่างก็ยึดมั่นในแนวคิดด้านประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน จึงมุ่งมั่นในการปกป้องเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ตลอดจนต้องการเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ ระหว่างกันอย่างแนบแน่น ทั้งในด้านเศรษฐกิจการค้า เทคโนโลยีและวัฒนธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันต่อไป
รมว.อู๋ฯ กล่าวอีกว่า ความมุ่งมั่นตั้งใจของประชาชนชาวยูเครนที่ผนึกกำลังกันต่อต้านการรุกรานจากประเทศภายนอก เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า “เราต้องช่วยเหลือตนเอง แล้วจึงจะมีผู้ให้ความช่วยเหลือตามมา” ซึ่งไต้หวันก็ได้รับอานิสงส์จากแนวคิดนี้ ซึ่งนอกจากภาคประชาชนจะมีความมุ่งมั่นในการปกป้องประเทศอย่างเต็มกำลังแล้ว รัฐบาลไต้หวันก็ยังเร่งพัฒนาแสนยานุภาพทางทหารที่ขาดความสมดุล พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพด้านการป้องกันประเทศด้วยการผนึกกำลังของภาคประชาชน ตลอดจนแสวงหาพลังเสียงสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรด้านประชาธิปไตย โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ยึดมั่นตาม “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” และ “หลักประกัน 6 ประการ” ด้วยการอนุมัติแผนจำหน่ายอาวุธให้ไต้หวันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยกระดับแสนยานุภาพในการยับยั้งและสกัดกั้นการโจมตีจากภายนอก ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกันอย่างแนบแน่น
รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า หลังเกิดเหตุสงครามรัสเซีย – ยูเครน ไต้หวันก็ได้เปิดบัญชีสำหรับให้ความช่วยเหลือในวิกฤตยูเครนของไต้หวัน พร้อมทั้งระดมการบริจาคสิ่งของจำเป็นจากภาคประชาชน ซึ่งภายในระยะเวลาไม่นาน ก็สามารถรวบรวมเงินบริจาคได้มากกว่า 33 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และสิ่งของจำเป็นเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ยูเครน รวมน้ำหนัก 580 ตัน ก่อนจะจัดส่งผ่านไปทางรัฐบาลของสโลวักและโปแลนด์ และหน่วยงานช่วยเหลือที่รัฐบาลของทั้งสองประเทศกำหนด เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ลี้ภัยที่จำต้องอพยพไปพำนักอาศัยในประเทศรายรอบ นอกจากนี้ ในช่วงก่อนหน้านี้ รมว.อู๋ฯ ยังได้ร่วมสนทนากับนายกเทศมนตรีกรุงเคียฟ เมืองหลวงแห่งยูเครน และร่วมพูดคุยกับนายกเทศมนตรีเมืองคาร์คิฟ พร้อมทั้งแสดงความห่วงใยต่อ Serhii Petrovych Dumenko สมเด็จพระสังฆราชแห่งคริสตจักรอีสเทิร์นออร์โธดอกซ์ในกรุงเคียฟและทั่วยูเครน รวมถึงนายกเทศมนตรีเมืองบูชาของยูเครน ผ่านทางระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทั้งนี้ เพื่อส่งผ่านความห่วงใยและการสนับสนุนของไต้หวันที่มีต่อยูเครน
ปัจจุบันสงครามระหว่างรัสเซีย - ยูเครนยังไม่มีทีท่าจะยุติลงในเร็ววันนี้ นอกจากรมว.อู๋ฯ จะแสดงการต้อนรับอย่างจริงใจต่อมิตรสหายที่เดินทางมาเยือนจากลิทัวเนียแล้ว ยังได้แสดงจุดยืนว่าทั้งไต้หวันและลิทัวเนียต่างเป็นประเทศแนวหน้าที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากประเทศเผด็จการ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรด้านเสรีภาพและประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง ไต้หวันจะยึดมั่นในแนวคิดนี้อย่างหนักแน่น เพื่อธำรงรักษาค่านิยมสากล ตลอดจนร่วมต่อต้านการแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิอำนาจนิยมอย่างเต็มที่ต่อไป