ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ปธน.ไช่ฯ ให้การต้อนรับคณะตัวแทนสภาแอตแลนติก (The Atlantic Council) ของสหรัฐฯ
2022-07-20
New Southbound Policy。ปธน.ไช่ฯ ให้การต้อนรับคณะตัวแทนสภาแอตแลนติก (The Atlantic Council) ของสหรัฐฯ (ภาพจากทำเนียบปธน.)
ปธน.ไช่ฯ ให้การต้อนรับคณะตัวแทนสภาแอตแลนติก (The Atlantic Council) ของสหรัฐฯ (ภาพจากทำเนียบปธน.)

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 19 ก.ค. 65
 
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 ก.ค. ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้การต้อนรับคณะตัวแทนสภาแอตแลนติก (The Atlantic Council) ของสหรัฐฯ พร้อมทั้งขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่จะช่วยยกระดับความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ไต้หวัน ตามที่ได้ระบุไว้ใน “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” และ “หลักประกัน 6 ประการ” อย่างเป็นรูปธรรม โดยปธน.ไช่ฯ เน้นย้ำว่า ในอนาคต ไต้หวันจะเร่งเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรด้านประชาธิปไตย อย่างสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในยุโรป เพื่อสร้างคุณประโยชน์ในด้านสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดแก่ภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกในระยะยาวต่อไป
 
ปธน.ไช่ฯ กล่าวต้อนรับคณะตัวแทนที่เดินทางมาเยือนไต้หวันในครั้งนี้ พร้อมกล่าวว่า คณะตัวแทนกลุ่มนี้ล้วนเคยเข้ารับตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานบริหารของสหรัฐฯ การเดินทางเยือนไต้หวันในครั้งนี้ เป็นผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากการผลักดันของ “สภาแอตแลนติก” โดยปธน.ไช่ฯ ขอบคุณที่รัฐบาลสหรัฐฯ และยุโรป ต่างจับตาและให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเป็นรูปธรรม
 
ปธน.ไช่ฯ แถลงว่า หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรปหรือไต้หวัน ต่างเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย พวกเรานอกจากจะเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เกิดจากสถานการณ์โรคโควิด – 19 การแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิอำนาจนิยม และการรุกรานยูเครนของรัสเซียแล้ว ยังเป็นอุทาหรณ์เตือนใจพวกเราว่า พันธมิตรด้านประชาธิปไตยควรเสริมสร้างความสามัคคี เพื่อร่วมปกป้องค่านิยมด้านสันติภาพ ประชาธิปไตยและเสรีภาพ
 
ปธน.ไช่ฯ ชี้ว่า เมื่อเดือนที่แล้ว แถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G7 ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน  โดยพวกเราขอแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่จะช่วยยกระดับความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ไต้หวัน ตามที่ได้ระบุไว้ใน “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” และ “หลักประกัน 6 ประการ” อย่างเป็นรูปธรรม ในอนาคต ไต้หวันจะเร่งเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรด้านประชาธิปไตย อย่างสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในยุโรป เพื่อสร้างคุณประโยชน์ในด้านสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดแก่ภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกในระยะยาวต่อไป
 
ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า เมื่อเดือนที่แล้วเป็นครั้งแรกที่สภาแอตแลนติกได้ประกาศ “ดัชนีด้านเสรีภาพและความเจริญรุ่งเรือง” (Freedom and Prosperity Indexes) โดยได้กำหนดให้ “ดัชนีด้านเสรีภาพ” ของไต้หวัน ก้าวสู่อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย และเป็นอันดับที่ 18 ของโลก ส่วน “ดัชนีด้านความเจริญรุ่งเรือง” ไต้หวันถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 27 ของโลก ปธน.ไช่ฯ แสดงความคิดเห็นว่า ไต้หวันมีความสามารถและยินดีที่จะสวมบทบาทสำคัญในด้านการประสานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าของกลุ่มพันธมิตรด้านประชาธิปไตยทั่วโลก อย่างกระตือรือร้น
 
ปธน.ไช่ฯ ยังระบุว่า เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว “การประชุมครั้งแรกภายใต้แผนริเริ่มการค้าระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 21” ที่จัดโดยไต้หวัน - สหรัฐฯ ได้เปิดฉากขึ้น นอกจากนี้ พวกเรายังคาดหวังที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจและการค้ากับสหรัฐฯ ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ กรอบความตกลงทางการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Framework Agreement, TIFA) และ “การเจรจาหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ (Taiwan-US Economic Prosperity Partnership Dialogue, EPPD)”
 
ปธน.ไช่ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะนี้ ไต้หวันยังได้เร่งผลักดัน “โครงการเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศยุโรป” เพื่อเป็นการขานรับต่อ “โครงการ Global Gateway” ของสหภาพยุโรป (EU) ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างไต้หวันและกลุ่มประเทศในยุโรป
 
ปธน.ไช่ฯ เน้นย้ำว่า การสนับสนุนของคณะตัวแทนจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ไต้หวันพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยปธน.ไช่ฯ ยังได้ใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อ Mr. Mark Esper อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐฯ ที่ร่วมเป็นกระบอกเสียงให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะในระหว่างวาระการดำรงตำแหน่งหรือในระยะที่ผ่านมา
 
ท้ายนี้ ปธน.ไช่ฯ ยังได้ขอบคุณคณะตัวแทน ซึ่งเป็นอาคันตุกะจากแดนไกลที่เดินทางมาเยือนไต้หวัน และยินดีต้อนรับหากจะมีคณะตัวแทนเดินทางมาเยือนบ่อยๆ เพื่อร่วมกันผลักดันการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือแบบทวิภาคี พร้อมนี้ยังอวยพรให้ภารกิจของคณะตัวแทนเป็นไปอย่างราบรื่น
 
Mr. Esper กล่าวขณะปราศรัยว่า ข้าพเจ้าขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นของปธน.ไช่ฯ โดยสมาชิกคณะตัวแทนที่เดินทางเยือนไต้หวันในครั้งนี้ มีทั้งที่มาจากสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในยุโรป เนื่องจากความท้าทายระดับโลกจำเป็นต้องอาศัยการตอบสนองจากประชาคมโลก ผ่านการหารือในประเด็นสำคัญๆ ร่วมกัน โดย Mr. Esper รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เดินทางมาเยือนกรุงไทเปอีกครั้ง เพื่อเยี่ยมเยือนประชาชนชาวไต้หวันที่รักและยึดมั่นในเสรีภาพ
 
Mr. Esper ชี้ว่า ในฐานะที่เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หน้าที่ของเขาก็คือการสร้างหลักประกันให้แก่สหรัฐฯ และพันธมิตรในการเตรียมพร้อมรับมือต่อสถานการณ์ความท้าทายระดับโลก อย่างกรณีการรุกรานยูเครนของรัสเซีย เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า ประเทศเผด็จการยังคงมีอยู่จริงในสังคมโลก ซึ่งได้สร้างปัญหาใหญ่หลวงให้แก่กลุ่มประเทศประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่ประชาธิปไตยในซีกโลกตะวันตกต้องเผชิญหน้ามิใช่รัสเซีย หากแต่เป็นในเอเชีย เนื่องจากพวกเขาเล็งเห็นแล้วว่า รัฐบาลจีนได้ก่อกวนเพื่อทำลายความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรม โดยจีนได้เข้ารุกรานและข่มขู่ประชาชนที่ยึดมั่นในหลักเสรีภาพ ซึ่งไต้หวันเป็นประเทศแนวหน้าที่ต้องเผชิญหน้าอย่างมิสามารถเลี่ยงได้
 
Mr. Esper กล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาธิปไตยที่ได้รับการพัฒนาอย่างรุดหน้า และความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของไต้หวัน รวมถึงประชาชนที่รักและยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย ล้วนขัดต่อแนวคิดของรัฐบาลจีน Mr. Esper จึงขอเรียกร้องให้กลุ่มประเทศประชาธิปไตยในซีกโลกตะวันตก ก้าวออกมาให้การสนับสนุนประเทศประชาธิปไตยที่มีการพัฒนาอย่างรุดหน้าอย่างไต้หวัน เพื่อต่อต้านการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน
 
Mr. Esper ยังได้ระบุว่า ขณะนี้ในแวดวงนโยบายของกรุงวอชิงตัน ดีซี มีฉันทามติร่วมกัน 1 ข้อคือ สำหรับสหรัฐฯ แล้ว จีนเป็นความท้าทายเชิงยุทธศาสตร์ แต่ไต้หวันเป็นมิตรสหายที่พวกเราต้องให้การสนับสนุนและร่วมปกป้อง นอกจากนี้ Mr. Esper ยังได้ส่งสารในลักษณะคล้ายกันนี้ไปยังพันธมิตรในยุโรปและองค์การนาโต้ (NATO)
 
Mr. Esper เผยว่า ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เดินทางมาเข้าพบคารวะปธน.ไช่ฯ ในครั้งนี้ พร้อมร่วมพูดคุยหารือในประเด็นสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้า การต่างประเทศ การบูรณาการทางเศรษฐกิจและความมั่นคง กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐของไต้หวัน โดย Mr. Esper แสดงความเห็นว่า นโยบายจีนเดียวที่ดำเนินการมาเป็นระยะเวลายาวนานของรัฐบาลจีน ไร้ซึ่งประสิทธิผลอีกต่อไป โดยพวกเราควรที่จะถอยห่างจากความไม่ชัดเจนทางยุทธศาสตร์เช่นนี้ พร้อมแสดงความเห็นว่า สหรัฐฯ ควรที่จะจัดการอภิปรายภายในประเทศเพื่อหารือกันถึงสถานการณ์ล่าสุด พร้อมประกาศให้ประชาชนชาวสหรัฐฯได้รับทราบถึง การตัดสินใจดำเนินนโยบายของไต้หวัน อาทิ การจัดเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม การประยุกต์ใช้ข้อได้เปรียบของแสนยานุภาพทางการทหารที่ขาดสมดุล และการหารือเพื่อยืดระยะเวลาการเกณฑ์ทหาร รวมถึงการเสริมสร้างกองกำลังเสริมและความสามารถในการระดมพล  เป็นต้น