ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ปธน.ไช่ฯ ร่วมแถลงข่าว “แผนปฏิบัติการว่าด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) ของธนาคารอวี้ซาน (E.SUN BANK)”
2022-08-19
New Southbound Policy。ปธน.ไช่ฯ ร่วมแถลงข่าว “แผนปฏิบัติการว่าด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) ของธนาคารอวี้ซาน (E.SUN BANK)” (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)
ปธน.ไช่ฯ ร่วมแถลงข่าว “แผนปฏิบัติการว่าด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) ของธนาคารอวี้ซาน (E.SUN BANK)” (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 18 ส.ค. 65
 
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าว “แผนปฏิบัติการว่าด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) ของธนาคารอวี้ซาน (E.SUN BANK)”  พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะทำการชี้แนะ และให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำ แม้ในเส้นทางของการเปลี่ยนผ่าน มักจะประสบกับอุปสรรคและความท้าทายนานาประการ แต่รัฐบาลจะประสานความร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิดต่อไป นอกจากนี้ ปธน.ไช่ฯ ยังได้ติดต่อเชิญผู้นำทุกแวดวงร่วมให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมระดับต้นน้ำ - กลางน้ำ – ปลายน้ำในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและย่อมอันเนื่องจากการเปลี่ยนผ่าน โดยปธน.ไช่ฯ ย้ำว่า รัฐบาลจะร่วมสู้ไปกับทุกคน เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และเพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมของพวกเรามุ่งสู่การพัฒนาที่ดี มีศักยภาพทางการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงสู่เวทีนานาชาติในภายภาคหน้าต่อไป
 
ปธน.ไช่ฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า ในระยะนี้ ไต้หวันต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งในและต่างประเทศ โดยหลายคนต่างมีความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างให้ไต้หวันก้าวสู่การพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น แต่ก็มีกลุ่มคนบางส่วนรู้สึกวิตกกังวล ปธน.ไช่ฯ แสดงความคิดเห็นว่า แผนปฏิบัติการว่าด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) เป็นแผนปฏบัติการที่สำคัญ และเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการผลักดัน ซึ่งแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำที่สำคัญในแวดวงอุตสาหกรรม
 
ปธน.ไช่ฯ ชี้ว่า นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา “การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน” ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งแม้จะเป็นหนทางที่เปี่ยมด้วยอุปสรรคความท้าทายนานาประการและต้องใช้เวลา แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแนวโน้มการพัฒนาทั่วโลกอย่างยั่งยืน และข้อเรียกร้องด้านห่วงโซ่อุปทานสีเขียวแล้ว พวกเราจำเป็นต้องประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อมุ่งหน้าในการดำเนินภารกิจอย่างเร่งด่วน
 
ปธน.ไช่ฯ ชี้ว่า ตนขอใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อมิตรสหายในแวดวงธุรกิจ ที่ได้ให้การสนับสนุนต่อการผลักดันนโยบายของรัฐบาลตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยขอหยิบยกกรณีตัวอย่างของธนาคารอวี้ซาน ที่นอกจากจะมุ่งมั่นทุ่มเทการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นสื่อกลางรวบรวมตัวแทนผู้นำที่ยึดมั่นในปณิธานเดียวกัน ในการผลักดันแผนปฏิบัติการการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ESG โดยจำนวนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 32 ราย มาเป็นจำนวนนับร้อยรายในปีนี้ แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน นับเป็นเป้าหมายการพัฒนาในแวดวงธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน
 
ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า เมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และนำเสนอ “กลยุทธ์สำคัญ 12 ประการ” พร้อมทั้งบูรณาการทรัพยากรแบบข้ามหน่วยงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายที่เกิดจากวิสัยทัศน์ในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในระยะยาว โดยในแผนกลยุทธ์ พวกเราไม่เพียงแค่ต้องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ มาแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการลดคาร์บอนได้สูงสุด อีกทั้งยังต้องการทุ่มเทการวิจัยด้านเทคโนโลยีเพื่อโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต เช่น พลังงานไฮโดรเจน พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานคลื่นทะเลและเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อส่งเสริมให้มีการนำพลังทางเทคโนโลยีมาเข้าช่วยในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน
 
นับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ผู้ประกอบการที่ส่งเอกสารขออนุมัติใน “โครงการการลงทุนในไต้หวัน 3 โครงการ” จำเป็นต้องกำหนดกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกเข้าเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานที่ยื่นเสนอต่อรัฐบาล และตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป คณะกรรมการกำกับดูแลสถาบันการเงินไต้หวันจะเรียกร้องให้กลุ่มผู้ประกอบการเปิดเผยรายงานผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเป้าหมายของพวกเราคือ ก่อนปี 2027 ทุกบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะต้องดำเนินการตรวจสอบสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แล้วเสร็จ
 
ปธน.ไช่ฯ ชี้ว่า ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมายข้างต้น เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย จึงตัดสินใจดำเนินมาตรการในแบบ “จากใหญ่ไปเล็ก” และ “ใหญ่ชักจูงเล็ก”
 
ปธน.ไช่ฯ แถลงว่า หลังจากที่เทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ มุ่งสู่การพัฒนาในทิศทางเชิงบวกแล้ว คาดว่าจะเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะสามารถจับแนวโน้มและโอกาสด้านการจัดเก็บพลังงาน รวมถึงระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ส่วนในด้านผู้บริโภค ความเปลี่ยนแปลงในการเลือกซื้อสินค้าเพื่อการบริโภคของประชาชน และแผนปฏิบัติการว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จะก่อให้เกิดเป็นวัฏจักรหมุนเวียนที่ดี เชื่อว่าในอนาคต สินค้าและการบริการรูปแบบคาร์บอนต่ำ จะนำมาซึ่งโอกาสทางการตลาดที่เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน