กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 1 ก.ย. 65
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Mr. Richard Walker หัวหน้ากองบรรณาธิการฝ่ายต่างประเทศของสถานีวิทยุโทรทัศน์ดอยช์ เวเลย์ (Deutsche Welle) แห่งเยอรมนี และนายโจวจงฮั่น ผู้อำนวยการของ Deutsche Welle ประจำไต้หวัน โดยรมว.อู๋ฯ ได้ชี้แจงถึงภัยคุกคามที่จีนกระทำต่อไต้หวัน และแนวทางในการปกป้องประเทศของไต้หวัน เป็นต้น โดยเนื้อหาของบทสัมภาษณ์ได้ถูกตีพิมพ์ในหัวข้อ “การซ้อมรบของจีนแสดงให้เห็นถึงการวางหมากในการรุกล้ำไต้หวันในอนาคต” ผ่านทางเว็บไซต์ของ Deutsche Welle และช่องทางที่หลากหลาย เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา
รมว.อู๋ฯ แถลงว่า การที่จีนได้ทำการซ้อมรบในพื้นที่รอบน่านน้ำของไต้หวันในช่วงที่ผ่านมา โดยทำเป็นเพิกเฉยต่อเส้นมัธยฐานกลางช่องแคบไต้หวัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการจะครอบครองช่องแคบไต้หวันเข้าเป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินจีน พร้อมบ่อนทำลายความมั่นคง สันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่อินโด – แปซิฟิก ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ถือเป็นการยั่วยุท้าทายและเป็นอันตรายอย่างรุนแรง เชื่อว่าความทะเยอทะยานของจีนจะมิได้จำกัดอยู่เพียงเฉพาะไต้หวันเท่านั้น การทำลายสถานภาพเดิมของสองฝั่งช่องแคบไต้หวันโดยลัทธิอำนาจนิยมจากจีน นอกจากจะเป็นการรุกรานอำนาจอธิปไตยของไต้หวันแล้ว ยังเป็นการทำลายผลประโยชน์ของนานาประเทศในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก อีกด้วย โดยกลุ่มประเทศประชาธิปไตยควรที่จะร่วมต่อต้านการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการอย่างสามัคคี
รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า “การธำรงรักษาสถานภาพเดิมในปัจจุบัน” เป็นนโยบายของไต้หวันที่จะไม่มีวันสั่นคลอน และเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับผลประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่าย พร้อมนี้ รมว.อู๋ฯ ยังยืนยันอย่างหนักแน่นว่า สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสาธารณรัฐประชาชนจีน มิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และจีนไม่เคยได้รับสิทธิ์ปกครองไต้หวันเลยแม้แต่วันเดียว ซึ่งนี่คือนิยามคำว่า “สถานภาพเดิมในปัจจุบัน” มีเพียงประชาชนชาวไต้หวันเท่านั้นที่มีสิทธิกำหนดอนาคตของไต้หวันด้วยตนเอง
รมว.อู๋ฯ ยังเน้นย้ำว่า รัฐบาลจีนใช้ข้ออ้างในกรณีที่ Ms. Nancy Pelosi ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน มาเป็นตัวจุดชนวนที่ทำให้จีนสามารถปฏิบัติการฝึกซ้อมตามแผนการโจมตีไต้หวันที่ได้จัดเตรียมไว้มาเป็นเวลานาน แต่เราจะไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันจากจีน จีนมิอาจห้ามไต้หวันผูกสัมพันธ์กับนานาประเทศทั่วโลก รวมทั้งไม่สามารถก้าวก่ายการเดินทางมาเยือนของมิตรสหายต่างแดน ที่ต้องการแสดงความสนับสนุนไต้หวันด้วยเช่นกัน
รมว.อู๋ฯ ระบุว่า หนึ่งในสาเหตุของการเกิดสงครามสู้รบระหว่างรัสเซีย - ยูเครน เกิดจากการที่รัสเซียเข้ารุกล้ำพื้นที่คาบสมุทรไครเมียที่ตั้งอยู่ในยูเครน และยึดไว้ภายใต้อาณัติของตนเอง นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา โดยในช่วงนั้นประชาคมโลกต่างไม่ทันตั้งตัวในการรับมือและร่วมต่อต้านในทิศทางเดียวกัน ยูเครนต้องเผชิญหน้ากับการถูกโจมตีด้วยอำนาจเผด็จการจากรัสเซียอย่างยากลำบาก แต่ประชาชนชาวยูเครนต่างก็ต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยและประเทศชาติของตนอย่างสุดกำลัง ซึ่งภาพเหตุการณ์เหล่านี้ได้ปลุกความฮึกเหิมให้แก่ประชาชนชาวไต้หวันเป็นอย่างมาก หากเมื่อใดที่จีนบุกโจมตีไต้หวัน ประชาชนชาวไต้หวันก็จะร่วมต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตย ดินแดนและวิถีชีวิตแห่งประชาธิปไตย ให้คงอยู่ต่อไปเช่นกัน
รมว.อู๋ฯ กล่าวว่า ทั้งรัฐบาลและประชาชนชาวไต้หวันต่างตระหนักดีว่า การปกป้องดินแดนไต้หวันเป็นภารกิจหน้าที่ของพวกเราโดยตรง พวกเราจึงขอใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อนุมัติจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อการป้องกันประเทศให้ไต้หวันอย่างสม่ำเสมอ ตามคำมั่นด้านความมั่นคงที่ให้ไว้ต่อไต้หวัน แต่หากพวกเราไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการปกป้องประเทศ ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศทั่วโลกได้ โดยในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลไต้หวันได้ทำการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันประเทศให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รมว.อู๋ฯ เผยอีกว่า หลายปีมานี้ จีนได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนฮ่องกง อีกทั้งยังขยายฐานทัพทหารในพื้นที่ทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ พร้อมทั้งร่วมลงนามความตกลงด้านความมั่นคงกับหมู่เกาะโซโลมอน ตลอดจนจัดตั้งฐานทัพบริเวณท่าเรือในกัมพูชา เมียนมาร์ ปากีสถาน ศรีลังกาและสาธารณรัฐจิบูตี รมว.อู๋ฯ จึงขอเตือนให้ประชาคมโลกยกระดับการเฝ้าระวัง เนื่องจากไต้หวันมิใช่เป้าหมายสุดท้ายของการแผ่ขยายอิทธิพลด้วยอำนาจเผด็จการของจีนอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ กลุ่มประเทศประชาธิปไตยจึงควรที่จะประสานสามัคคี ในการต่อต้านการแผ่ขยายอำนาจของลัทธิอำนาจนิยมอย่างเต็มที่
สถานีวิทยุโทรทัศน์ Deutsche Welle เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์สาธารณะของเยอรมนี ที่ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1953 โดยออกอากาศไปทั่วโลกด้วยภาษาต่างประเทศรวม 32 ภาษา ซึ่งเนื้อหาส่วนมากมุ่งเน้นไปที่สถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยมีผู้ติดตามจากทุกพื้นที่ทั่วโลก และมียอดการติดตามข่าวสารเฉลี่ย 280 ล้านคนครั้งต่อสัปดาห์ จึงนับว่าเป็นสื่อมวลชนที่ทรงอิทธิพลในระดับนานาชาติ
