กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 25 ก.ย. 65
ต่อกรณีที่เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนายหวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้กล่าวอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือไต้หวันในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA 77) โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงของญัตติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ฉบับที่ 2758 ให้สอดรับต่อ “หลักการจีนเดียว” เพื่อสร้างภาพลวงตาให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ เพื่อต้องการหันเหความสนใจที่จีนกระทำการรุกล้ำดินแดนไต้หวันตลอดช่วงที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ขอประณามพฤติกรรมการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และการสร้างความสับสนต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเท็จ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้แก่สื่อต่างชาติ ของรมว.หวังฯ ในระหว่างการประชุมครั้งนี้
กต.ไต้หวันยืนยันว่า ญัตติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ฉบับที่ 2758 ระบุเพียงสิทธิ์ในการเข้าร่วมของเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนในการประชุมภายใต้ระบบสหประชาชาติ แต่ไม่มีการระบุถึงไต้หวันเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งไต้หวันนอกจากจะไม่เคยให้สิทธิ์แก่รัฐบาลจีนในการเป็นตัวแทนของไต้หวันในระบบของ UN แล้ว ยังไม่เคยระบุด้วยว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสาธาณรัฐประชาชนจีน หากแต่รัฐบาลจีนกลับตีความนัยยะเชิงการเมืองจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ของ UN ที่บิดเบือนจากความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจงใจสร้างความเชื่อมโยงให้เข้ากับ “หลักการจีนเดียว” ทั้งที่ยังไม่มีการยอมรับอย่างเป็นทางการในประชาคมโลก นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้สร้างแรงกดดันต่อระบบ UN ที่ไม่เหมาะควรมาเป็นระยะเวลายาวนาน เพื่อต้องการกีดกันไม่ให้ไต้หวันและประชาชนไต้หวันได้เข้าร่วมในทุกช่องทาง ซึ่งเป็นการปิดโอกาสในการสร้างคุณประโยชน์ของไต้หวันให้แก่ประชาคมโลก สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เป็นประเทศที่มีเปี่ยมด้วยเสรีภาพและประชาธิปไตย ไต้หวันที่เป็นประชาธิปไตยและจีนที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ได้รับความเห็นพ้องจากนานาประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเสมอมา และเป็นสถานภาพเดิมในปัจจุบันของสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน พร้อมนี้ กต.ไต้หวันยังได้เน้นย้ำว่า จีนไม่เคยได้เข้าปกครองไต้หวันเลยแม้แต่วันเดียว เพราะฉะนั้นจึงจะเห็นได้ว่า ไต้หวันและจีนมิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน มีเพียงรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนไต้หวันเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เป็นตัวแทนของประชาชนจำนวน 23.5 ล้านคนในการเข้าร่วมกิจกรรมในเวทีนานาชาติอย่าง UN ส่วนรัฐบาลพรรคคอมนิวนิสต์ที่ไม่เคยได้เข้าปกครองไต้หวัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายใดๆ ทั้งสิ้น
“กฎบัตรของสหประชาชาติ” ระบุชัดเจนว่า การธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพเป็นหลักการและจุดประสงค์ของ UN โดยเฉพาะการห้ามใช้อาวุธในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แต่ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนกลับเพิ่มความถี่ในการข่มขู่ไต้หวันด้วยกำลังทหารอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการซ้อมรบในน่านน้ำรอบไต้หวัน การรุกล้ำเส้นแบ่งเขตกึ่งกลางช่องแคบไต้หวันด้วยเรือรบ และการกระทำที่เป็นการรุกล้ำทางการทหารที่เกิดจากความเห็นชอบของตนเพียงฝ่ายเดียว เพื่อทำลายสถานภาพเดิมที่เปี่ยมด้วยสันติภาพของสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน ตลอดจนทำลายความมั่นคงในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก โดยพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ ล้วนขัดแย้งต่อความตั้งใจแรกเริ่มและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของ “กฎบัตรของสหประชาชาติ” แต่รัฐบาลจีนกลับประกาศตนในระหว่างการประชุมอย่างไม่ละอายว่า เป็นประเทศที่รักและยึดมั่นในสันติภาพ โดยการประกาศตัวที่มีนัยยะเชิงข่มขู่เช่นนี้ เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า จีนไร้ซึ่งความละอายใจ อีกทั้งจีนยังต้องการอาศัยอำนาจทางการเมืองแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมของสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน ตลอดจนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่ภูมิภาค
ในระยะนี้ที่จีนได้สร้างความท้าทายในน่านน้ำรอบไต้หวัน ส่งผลให้ทั่วโลกจับตาและส่งมอบความห่วงใยให้แก่ไต้หวันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศพันธมิตรและสหรัฐฯ รวมถึงประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ต่างให้ความสำคัญต่อสันติภาพในพื้นที่สองฝั่งช่องแคบไต้หวันอย่างเปิดเผย เพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมของสองฝั่งช่องแคบไต้หวันที่เกิดจาความเห็นชอบเพียงฝ่ายเดียว ตลอดจนเรียกร้องให้เห็นถึงความสำคัญในการเคารพกฎบัตรของ UN โดยไต้หวันจะประสานความร่วมมือกับกลุ่มประเทศประชาธิปไตย ร่วมสกัดกั้นการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศ บนพื้นฐานของกฎกติกาสากล รวมถึงเสรีภาพและการเปิดกว้างในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ให้คงอยู่สืบต่อไป