กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 18 ต.ค. 65
เมื่อวันที่ 18 ต.ค. นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านลายลักษณ์อักษรแก่ Mr. Lorenzo Lamperti ผู้สื่อข่าวพิเศษของสำนักข่าว La Stampa แห่งอิตาลี โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์และหนังสือพิมพ์กว่าครึ่งหน้ากระดาษของ La Stampa ไปเมื่อวันที่ 16 ต.ค. ตามเวลาในกรุงไทเป โดยได้มีการจั่วหัวข้อด้วย 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน : ปฏิเสธรูปแบบฮ่องกงอย่างหนักแน่น” (Taiwan, il ministro degli esteri: “No al modello Hong Kong”) และ “ไต้หวันยินดีเจรจา แต่ไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดัน” ( “Taiwan è pronta al dialogo, ma non accetta imposizioni”) ซึ่งได้รับความสำคัญจากทุกแวดวงในอิตาลีเป็นอย่างมาก
รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า กุญแจสำคัญของการสานสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวันที่ดี คือการยึดมั่นในหลักการ “สันติภาพ ความเท่าเทียม ประชาธิปไตยและการเจรจา” โดยไต้หวันจะไม่ยอมรับต่อหลักการ “1ประเทศ 2 ระบบ” พร้อมทั้งขอเรียกร้องให้รัฐบาลจีนยุติการใช้กำลังทหารข่มขู่ไต้หวัน รวมถึงการโจมตีผ่านการแพร่กระจายข้อมูลเท็จ รมว.อู๋ฯ แสดงจุดยืนว่า รัฐบาลปักกิ่งควรตระหนักถึงความสำคัญของ “หลักการ 4 ประการ” ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน ที่เสนอโดยประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และควรคำนึงถึงความอดทนที่มีขีดจำกัดของไต้หวัน โดย 4 หลักการข้างต้นประกอบไปด้วย (1) ไต้หวันยึดมั่นในระบอบรัฐธรรมนูญด้านเสรีภาพและประชาธิปไตย (2) สาธารณรัฐจีน (ROC) และสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) มิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน (3) อำนาจอธิปไตยของไต้หวันจะไม่ให้ใครมาข่มขี่ และ (4) อนาคตของไต้หวันจำเป็นต้องเคารพการตัดสินใจร่วมกันของประชาชนชาวไต้หวัน
รมว.อู๋ฯ ระบุว่า นับตั้งแต่เดือนส.ค. ที่ผ่านมา จีนได้ใช้ข้ออ้างในกรณีที่ Ms. Nancy Pelosi ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน มาเป็นตัวจุดชนวนที่ทำให้จีนยกระดับการข่มขู่ทางทหารที่มีต่อไต้หวัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันของช่องแคบไต้หวัน เมื่อใดที่ประเทศประสบกับภัยคุกคาม ทั้งรัฐบาล กองทัพและภาคประชาชนชาวไต้หวัน พร้อมที่จะรับมือด้วยสติและความใจเย็น เพื่อสำแดงให้เห็นถึงความทรหดและความเชื่อมั่นของภาคประชาสังคมในไต้หวัน โดยผู้นำรัฐบาลไต้หวันและเจ้าหน้าที่ตัวแทนที่ประจำการในต่างประเทศ ต่างทยอยส่งสารเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาคมโลกว่า ไต้หวันจะเผชิญหน้าด้วยความเยือกเย็นและมีสติ โดยจะไม่ก่อประเด็นพิพาทใดๆ แต่จะแสวงหาพลังเสียงสนับสนุนจากประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ นานาประเทศทั่วโลกต่างก็ร่วมจับตาและแสดงความห่วงใยต่อการที่จีนจัดการซ้อมรบเพื่อทำลายสถานภาพปัจจุบันของช่องแคบไต้หวัน พร้อมทั้งให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างหนักแน่น
รมว.อู๋ฯ ได้หยิบยกกรณีตัวอย่างของสถานการณ์สงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยระบุว่า สงครามรัสเซีย - ยูเครนดำเนินต่อเนื่องมาตราบจนปัจจุบัน ในระหว่างนี้ ยูเครนได้รับเสียงสนับสนุนเป็นวงกว้างจากกลุ่มประเทศประชาธิปไตย ซึ่งจีนควรตระหนักถึงความสูญเสียที่มีมูลค่ามหาศาลและพฤติกรรมต่อต้านจากประชาคมโลก จากบทเรียนในครั้งนี้ ไต้หวันเป็นเขตเศรษฐกิจที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยและเสรีภาพ ประกอบกับมีผลสัมฤทธิ์ขั้นสูงในด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอุตสาหกรรมทางเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งผลสัมฤทธิ์ข้างต้นของไต้หวันมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการค้าของกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก หากไต้หวันตกอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการ จะนำมาซึ่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน
รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากจีน ความมั่นคงของช่องแคบไต้หวันมิได้เป็นเพียงเฉพาะปัญหาที่ไต้หวันต้องเผชิญหน้าเท่านั้น ไต้หวันตั้งอยู่แนวหน้าในการรับมือกับภัยคุกคามจากประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการ ซึ่งต้องการพลังเสียงสนับสนุนจากประชาคมโลก หากเสียงสนับสนุนไต้หวันยิ่งทวีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งสามารถสกัดกั้นความทะเยอทะยานของจีนที่ต้องการเข้ารุกล้ำไต้หวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย โดยรมว.อู๋ฯ ได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกเร่งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อธำรงรักษาค่านิยมด้านเสรีภาพและประชาธิปไตยให้คงอยู่ ตลอดจนเพื่อบรรลุเป้าหมายในการสกัดกั้นความทะเยอทะยานในการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการจากจีน
ในช่วงท้าย สำนักข่าว “La Stampa” ได้ระบุถึงการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 โดย La Stampa ได้ขานรับต่อข้อเสนอของรมว.อู๋ฯ ด้วยการประณาม “หลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ” ของรัฐบาลจีน ที่ไม่สอดคล้องต่อความเป็นจริงตามที่ระบุไว้ ประกอบกับรัฐบาลจีนยังไม่มีแนวคิดที่จะล้มเลิกการใช้กำลังอาวุธต่อไต้หวัน อันจะเป็นสาเหตุที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก ในภายภาคหน้า