ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 24 ต.ค. 65
 
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 24 ต.ค. ทำเนียบประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้จัดงานแถลงข่าวเพื่อประกาศว่า นายไล่ชิงเต๋อ รองประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) มีกำหนดการจะนำคณะตัวแทนเดินทางเยือนสาธารณรัฐปาเลาในระหว่างวันที่ 1 – 3 พ.ย.นี้ เพื่อปฏิบัติภารกิจตามโครงการ “Travel Bubble ระหว่างไต้หวัน - ปาเลา” โดยปธน.ไช่ฯ คาดหวังที่จะเห็นคณะตัวแทนภายใต้การนำของรองปธน.ไล่ฯ สามารถบรรลุเป้าหมายหลัก 3 ประการ ที่ประกอบด้วย “การเชื่อมโยง” “การท่องเที่ยว” และ “การประสานความร่วมมือ”
 
โดยนายจางตุนหาน โฆษกทำเนียบปธน.ฯ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง ที่มาที่ไปของการเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรในครั้งนี้ โฆษกจางฯ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วโลก ประกอบกับนานาประเทศทั่วโลกต่างทยอยประกาศใช้มาตรการควบคุมพรมแดน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และการเดินทางท่องเที่ยวของภาคประชาชน โดยสาธารณรัฐปาเลา ซึ่งเป็นประเทศที่เลื่องชื่อในด้านทรัพยากรการท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยในช่วงนี้ หลายประเทศต่างทยอยปลดล็อคมาตรการควบคุมพรมแดน รวมถึงไต้หวันซึ่งได้ประกาศเปิดประเทศเมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อก้าวสู่บริบทแห่งวิถีชีวิตที่เป็นปกติสุขเฉกเช่นเดิม
 
โฆษกจางฯ ระบุว่า เมื่อต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา H.E. Surangel S. Whipps, Jr. ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐปาเลา ได้นำคณะตัวแทนเดินทางเยือนไต้หวัน เพื่อแสดงความคาดหวังที่จะเห็นไต้หวัน – ปาเลา เสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนในด้านต่างๆ ในเชิงลึก พร้อมทั้งเชื้อเชิญปธน.ไช่ฯ เดินทางเยือนปาเลาด้วยตนเอง เพื่อร่วมกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ แต่เนื่องจากสถานการณ์ความผันผวนด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ปธน.ไช่ฯ ยังคงจำเป็นต้องจับตาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบริหารงานภาครัฐภายในประเทศยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ตลอดจนเพื่อรับมือกับความท้าทายนานาประการในระดับภูมิภาคและระดับโลก
 
โฆษกจางฯ กล่าวว่า เพื่อแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - ปาเลา และการเสริมสร้างมิตรภาพอันดีระหว่างสองประเทศ พร้อมทั้งตอบรับความคาดหวังของปธน. Whipps ปธน.ไช่ฯ จึงได้มอบหมายให้รองปธน.ไล่ฯ นำคณะตัวแทนเดินทางเยือนปาเลาในช่วงระหว่างวันที่ 1 – 3 พ.ย. นี้
 
โฆษกจางฯ ระบุว่า การเดินทางตามโครงการ “Travel Bubble ระหว่างไต้หวัน - ปาเลา” ในครั้งนี้ แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 3 วัน แต่จะเป็นทริปการเดินทางที่อัดแน่นไปด้วยสาระสำคัญระหว่างสองประเทศอย่างแน่นอน โดยในช่วงระยะเวลา 3 วันนี้ ปธน.ไช่ฯ คาดหวังที่จะเห็นรองปธน.ไล่ฯ และคณะ สามารถบรรลุเป้าหมายหลัก 3 ประการ ประกอบด้วย “การเชื่อมโยง” “การท่องเที่ยว” และ “การประสานความร่วมมือ” เป็นต้น
 
โฆษกจางฯ แถลงว่า ประการแรก “การเชื่อมโยง” นอกจากไต้หวัน – ปาเลาจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างใกล้ชิดและเป็นไปในเชิงลึกแล้ว ไต้หวันยังต้องการที่จะเชื่อมโยงกับนานาประเทศทั่วโลก โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมานี้ แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดจะส่งผลกระทบต่อทั่วโลก แต่การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – ปาเลายังคงมีความแนบแน่นไม่เปลี่ยนแปลง อันจะเห็นได้จากในเดือนเม.ย.ปีนี้ นายจางจื่อจิ้ง รัฐมนตรีทบวงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้นำคณะตัวแทนเดินทางเยือนปาเลา เพื่อเข้าร่วม“การประชุมใหญ่ว่าด้วยมหาสมุทรของเรา” (Our Ocean Conference, OOC) และในเดือนส.ค.ของปีเดียวกันนี้ Ms. J. Uduch Sengebau Senior รองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแห่งสาธารณรัฐปาเลา ก็ได้นำคณะตัวแทนเดินทางมาเยือนไต้หวัน ประกอบกับเมื่อช่วงต้นเดือนต.ค. ที่ผ่านมา ปธน. Whipps ผู้นำปาเลาก็ได้เดินทางมาเยือนไต้หวันอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันชาติ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เพราะฉะนั้นในการเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรของรองปธน.ไล่ฯ ในครั้งนี้ นอกจากจะต้องสำแดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันแนบแน่นระหว่างไต้หวัน - ปาเลาแล้ว รองปธน.ไล่ฯ ยังถือเป็นตัวแทนในการเปิดประตูพรมแดนของไต้หวัน เพื่อเชื่อมโยงสู่ทั่วโลกอีกครั้ง ซึ่งพวกเราขอยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนไต้หวัน และต้อนรับประชาชนชาวไต้หวันที่พำนักอาศัยอยู่ในต่างแดนให้เดินทางกลับสู่มาตุภูมิ
 
โฆษกจางฯ กล่าวว่า ประการที่สอง “การท่องเที่ยว” : ไต้หวัน – ปาเลา ควรร่วมประชาสัมพันธ์เสน่ห์ความงามของประเทศมหาสมุทรซึ่งกันและกัน ปาเลาเลื่องชื่อในด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว โดยตารางการเดินทางของรองปธน.ไล่ฯ ในครั้งนี้ จะมี 1 วันเต็มๆ ที่มุ่งเน้นไปที่การดื่มด่ำกับเสน่ห์ความงามของการท่องเที่ยวในดินแดนมหาสมุทรของปาเลา โดยไต้หวันยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือปาเลาในการผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 2022 เป็นต้นไป ไต้หวันจะเปิดเส้นทางการบินตรงระหว่างไต้หวัน – ปาเลาอีกครั้ง เพื่อฟื้นฟูการเยือนและการแลกเปลี่ยนระหว่างภาคประชาชนไต้หวัน - ปาเลา ด้วยเหตุนี้ ปธน.ไช่ฯ จึงคาดหวังที่จะเห็นคณะตัวแทนภายใต้การนำของรองปธน.ไล่ฯ ส่งผ่านเสน่ห์ความงดงามของไต้หวันไปสู่ปาเลา ควบคู่ไปกับการส่งมอบความงดงามของปาเลากลับมาสู่ภาคประชาชนชาวไต้หวันด้วยเช่นกัน
 
โฆษกจางฯ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ประการที่สาม “การประสานความร่วมมือ” : คาดหวังที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในเชิงลึก ผ่านการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นสวัสดิการและความผาสุกให้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไต้หวัน – ปาเลาได้สานสัมพันธ์ทางความร่วมมือระหว่างกันอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านการแพทย์และสาธารณสุข การเกษตร การประมงและการปศุสัตว์ พลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ การฝึกอบรมด้านการศึกษา และการส่งเสริมสิทธิสตรี เป็นต้น โดยการเดินทางเยือนของรองปธน.ไล่ฯ ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสองประเทศแล้ว ยังจะเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการติดตามความคืบหน้าของภารกิจในโครงการความร่วมมือด้านการคมนาคม การเกษตร การกีฬา และการแพทย์ โดยผลสัมฤทธิ์ทางความร่วมมือตามโครงการเหล่านี้ ล้วนได้รับการยอมรับและการสนับสนุนจากทุกแวดวงในปาเลา
 
โฆษกจางฯ แถลงว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายหลัก 3 ประการตามโครงการ “Travel Bubble ระหว่างไต้หวัน - ปาเลา” นอกจากรองปธน.ไล่ฯ จะนำเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางไปด้วยกันแล้ว ยังจะรวบรวมกลุ่มตัวแทนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสมาคมการท่องเที่ยวจากทุกพื้นที่ทั่วไต้หวัน รวม 30 กว่ารายร่วมเดินทางไปด้วย
 
โฆษกจางฯ เน้นย้ำว่า ไต้หวัน - ปาเลา นอกจากจะเป็นประเทศประชาธิปไตยในแถบพื้นที่มหาสมุทรแล้ว ทั้งสองยังเป็นพันธมิตรในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกที่มีความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่างกันอีกด้วย โดยการผลักดันการแลกเปลี่ยนระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูง และการเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างกันในเชิงลึก นับเป็นภารกิจสำคัญทางการทูตของรัฐบาลไต้หวัน โดยพวกเราคาดหวังว่า การเดินทางเยือนของคณะตัวแทนจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสองประเทศในเชิงลึก ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างสองประเทศ เพื่อสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชนสองประเทศต่อไป