ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 27 ธ.ค. 65
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 27 ธ.ค. ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ทำหน้าที่เป็นประธานใน “’งานแถลงข่าวแผนการปรับโครงสร้างกำลังพลเพื่อการป้องกันประเทศ” ที่จัดขึ้น ณ ห้องโถง ทำเนียบประธานาธิบดี โดยปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า ไต้หวันเป็นประเทศแนวหน้าในการเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการ “ต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านกลาโหม จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดภัยสงครามได้ เราจะต่อสู้เพื่อหยุดยั้งสงคราม” โดยไต้หวันจำเป็นต้องเสริมสร้างศักยภาพทางกลาโหม จึงจะสามารถสร้างหลักประกันในด้านความมั่นคงและผลประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติต่อไปได้
ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า แผนการปรับโครงสร้างกำลังพลเพื่อการป้องกันประเทศที่เสนอในวันนี้ ก็เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างกองทัพ ซึ่งครอบคลุมถึง “กองกำลังหลัก” ที่ส่วนใหญ่เป็นทหารที่สมัครเข้ารับราชการทหาร “กองทหารรักษาการณ์” ที่ส่วนใหญ่เป็นทหารเกณฑ์ รวมถึง “กลไกการป้องกันประเทศโดยภาคประชาชน” และ “ระบบกำลังพลสำรอง” ที่บูรณาการและจัดตั้งขึ้นโดยพลังภาคประชาชน หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลท้องถิ่นและทหารเกณฑ์ที่ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานฝ่ายพลเรือน
ปธน.ไช่ฯ ชี้ว่า ระบบการฝึกอบรมทหารเกณฑ์เป็นระยะเวลา 4 เดือนในปัจจุบัน ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการรับมือกับภัยสงครามในปัจจุบัน ไม่ว่าจะในด้านศักยภาพหรือคุณภาพ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป ไต้หวันจะฟื้นฟูระบบการเกณฑ์ทหารที่ต้องเข้ารับการฝึกอบรมและรับใช้ประเทศเป็นเวลา 1 ปี โดยผู้ที่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารคือชายไต้หวันที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปี 2005 เป็นต้นไป โดยในระหว่างการเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 1 ปี รัฐบาลจะเร่งเสริมสร้างทักษะความสามารถและศักยภาพด้านการป้องกันประเทศ รวมไปถึงเพิ่มค่าตอบแทน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงระยะเวลาของการเกณฑ์ทหารเข้าสู่ระบบบำนาญ พร้อมทั้งพิจารณาส่งเสริมให้ทหารเกณฑ์สามารถเชื่อมโยงสู่ช่วงวัยการทำงานได้อย่างราบรื่น
ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า ไต้หวันต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและความกล้าหาญในการปกป้องประเทศและธำรงรักษาไว้ซึ่งประชาธิปไตย โดยปธน.ไช่ฯ คาดหวังที่จะเห็นประชาชนทุกคนร่วมให้การสนับสนุนต่อแผนการข้างต้น พร้อมคาดหวังให้พรรครัฐบาล กลุ่มเอกชน นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ แวดวงต่างๆ ในสังคม ร่วมแลกเปลี่ยนเสวนากันในทิศทางเชิงบวกอย่างกระตือรือร้น เพื่อส่งเสริมให้แผนการมีความสมบูรณ์มากขึ้น และเพื่อให้แสนยานุภาพทางกลาโหมมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมให้ทหารเกณฑ์ได้รับประโยชน์สูงสุดภายใน 1 ปีของการเข้ารับการฝึกอบรม ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศชาติมีความมั่นคง และคงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป