ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ปธน.และรองปธน. สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้การต้อนรับคณะตัวแทนจากสถาบันวิจัย GTI โดยรมว.กต.ไต้หวันได้ร่วมจัดอาหารกลางวันต้อนรับด้วย
2023-03-23
New Southbound Policy。ปธน.และรองปธน. สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้การต้อนรับคณะตัวแทนจากสถาบันวิจัย GTI โดยรมว.กต.ไต้หวันได้ร่วมจัดอาหารกลางวันต้อนรับด้วย (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)
ปธน.และรองปธน. สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้การต้อนรับคณะตัวแทนจากสถาบันวิจัย GTI โดยรมว.กต.ไต้หวันได้ร่วมจัดอาหารกลางวันต้อนรับด้วย (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)

ทำเนียบประธานาธิบดีและกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 21 มี.ค. 66
 
เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา นายไล่ชิงเต๋อ รองประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้การต้อนรับคณะตัวแทนจาก “สถาบันวิจัย Global Taiwan Institute, (GTI)” โดยชี้ว่า รัฐบาลไต้หวันจะมุ่งมั่นผลักดันเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการปกป้องประชาธิปไตย เสริมสร้างศักยภาพทางกลาโหมและธำรงรักษาสันติภาพ โดยหวังว่าประชาคมโลกจะร่วมให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างต่อเนื่อง
 
Mr. Robert O'BRIEN ประธาน GTI กล่าวว่า การเดินทางเยือนไต้หวันในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการแสดงให้เห็นถึงมิตรภาพและความสนับสนุนที่สหรัฐฯ มีต่อไต้หวัน ซึ่งนับตั้งแต่ในวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศอย่างชัดแจ้งต่อประชาคมโลกว่า สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนประชาธิปไตย หลักนิติธรรมและความเจริญรุ่งเรืองของไต้หวัน อย่างหนักแน่น โดยหลังจากที่ปธน.โจ ไบเดน ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ก็ได้มีการแสดงทรรศนะอย่างเปิดเผยรวมแล้วกว่า 4 ครั้ง โดยระบุว่า หากไต้หวันต้องประสบกับการถูกรุกราน สหรัฐฯ จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือในทันที
 
โดย Mr. O'BRIEN ยังเสริมว่า เป้าหมายพันธกิจของคณะทำงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ - ไต้หวัน ก็เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้กำหนดนโยบายทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ ที่มีความสำคัญและลึกซึ้ง ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้สมาชิกสภาแบบข้ามพรรคร่วมทำความเข้าใจกันโดยถ้วนหน้า
 
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์ดาราสุกสกาวให้แก่ Mr. Robert O'BRIEN อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ประจำทำเนียบขาวของสหรัฐฯ เพื่อยกย่องเชิดชู Mr. O'BRIEN ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ โดยปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า หลายปีมานี้ ไต้หวัน - สหรัฐฯ ได้ร่วมวางรากฐานที่สำคัญด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อกระตุ้นการพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก โดยปธน.ไช่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้เฝ้าจับตาให้ความสำคัญในประเด็นความมั่นคงในไต้หวัน พร้อมคาดหวังที่จะเห็นไต้หวัน - สหรัฐฯ เร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางความร่วมมือด้านความมั่นคง ตลอดจนร่วมแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างต่อเนื่องในเชิงลึกต่อไป
 
ปธน.ไช่ฯ ระบุว่า ช่วงก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา Mr. O'BRIEN ได้มุ่งมั่นผลักดันให้สภาความมั่นคงแห่งชาติในทำเนียบขาวแห่งสหรัฐฯ จัดส่งคณะรัฐมนตรีเดินทางเยือนไต้หวัน รวมไปถึงการถอดรหัสใน “หลักประกัน 6 ประการ” รวมไปถึงการมุ่งมั่นเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ เพื่อสร้างหลักชัยที่สำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ให้เกิดความแนบแน่นยิ่งขึ้น
 
ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า  สถาบัน GTI เป็นคลังสมองของสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่มุ่งมั่นวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ เพียงแห่งเดียวในโลก โดยในครั้งนี้ ทาง GTI ได้รวบรวม “คณะทำงานพิเศษที่เกี่ยวกับนโยบายสหรัฐฯ - ไต้หวัน” เดินทางมาเยือนไต้หวัน แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ
 
หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ ดำเนินไปในทิศทางเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะมีการผลักดันการเจรจา “แผนริเริ่มทางการค้าไต้หวัน-สหรัฐฯ แห่งศตวรรษที่ 21” แล้ว ยังได้มีการวางรากฐานความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ ผ่านกลไกที่สำคัญๆ เช่น การเจรจาหุ้นส่วนเพื่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ (Taiwan-US Economic Prosperity Partnership Dialogue, EPPD) และกรอบความตกลงทางการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Framework Agreement, TIFA) เพื่อมุ่งมั่นในการกระตุ้นความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก
 
ปธน.ไช่ฯ แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เฝ้าจับตาในประเด็นความมั่นคงของไต้หวันเสมอมา เมื่อเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการ กลุ่มประเทศประชาธิปไตยควรที่จะประสานสามัคคี เพื่อธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในระดับภูมิภาค โดย Mr. O'BRIEN มักจะหยิบยกคำพูดของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน อดีตผู้นำสหรัฐฯ ที่ระบุว่า “สันติภาพพึ่งพาศักยภาพ” ซึ่งคำพูดประโยคนี้กินใจพวกเราชาวไต้หวันเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
 
หลายปีมานี้ นอกจากไต้หวันจะจัดสรรงบประมาณทางกลาโหมเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางกลาโหมที่ขาดความสมดุลแล้ว ยังได้มีการจัดตั้งสำนักงานระดมสรรพกำลังทางทหาร (The All-Out Defense Mobilization Agency) พร้อมทั้งสกัดกั้นการแพร่กระจายข่าวปลอมและสงครามลูกผสม ผ่านการผนึกกำลังแบบข้ามหน่วยงาน
 
ปธน.ไช่ฯ ชี้ว่า นับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ไต้หวันจะฟื้นฟูระบบการเกณฑ์ทหารที่ต้องเข้ารับการฝึกอบรมและรับใช้ประเทศเป็นเวลา 1 ปี  เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันประเทศด้วยตนเอง ควบคู่ไปกับการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการธำรงรักษาประชาธิปไตยและเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า “สันติภาพพึ่งพากลาโหม กลาโหมพึ่งพาประชาชน”
 
ในลำดับต่อมาเป็นการกล่าวปราศรัยของ Mr. O'BRIEN โดยชี้ว่า สมาชิกคณะตัวแทนที่ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้แทนรัฐบาล ผู้บัญชาการทหาร กลุ่มผู้เชี่ยวชาญและอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยงานบริหารของสหรัฐฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นในมุมมองที่แตกต่างกัน เนื่องจากในฤดูร้อนของปีนี้ จะมีการประกาศรายงานว่าด้วยแนวทางการเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบทวิภาคี ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ ที่เปี่ยมด้วยเสถียรภาพให้เกิดความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
 
Mr. O'BRIEN ชี้อีกว่า ขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติโครงการจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ไต้หวัน มูลค่ารวม 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประกอบด้วย ขีปนาวุธ AGM-84 Harpoon และขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ FIM-92 Stinger โดยรัฐบาลสหรัฐฯ คาดหวังที่จะส่งมอบอาวุธเหล่านี้ให้ไต้หวันในเร็ววัน Mr. O'BRIEN รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่เห็นว่า Mr. Jake Sullivan ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในทำเนียบขาวแห่งสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้มุ่งมั่นสืบสานทิศทางนโยบายเดิมที่มีมา
 
Mr. O'BRIEN กล่าวว่า ไต้หวันเป็นต้นแบบที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางการส่งเสริมประชาธิปไตย หลักนิติธรรมและเสรีภาพเฉพาะบุคคล ให้ได้รับการพัฒนาจนเกิดความรุ่งเรือง แต่เนื่องด้วยบนโลกใบนี้ ยังคงมีประเทศที่ยึดมั่นในระบอบเผด็จการและศรัทธาในลัทธิอำนาจนิยม ซึ่งมิได้ให้ความสำคัญต่อค่านิยมที่พวกเราร่วมศรัทธา
 
Mr. O'BRIEN เห็นว่า ศักยภาพทางกลาโหมที่ดีสามารถสกัดกั้นการรุกรานโจมตีจากประเทศภายนอกได้ ซึ่ง Mr. O'BRIEN รู้สึกยินดีที่เห็นว่าไต้หวันทุ่มเททรัพยากรในด้านความมั่นคงทางกลาโหมมากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันก้าวสู่การเป็นเหมือนตัวเม่น ที่มีความแข็งแกร่งและความมั่นคงรอบด้านเพิ่มมากขึ้น
 
นอกจากนี้ Mr. O'BRIEN ยังใช้โอกาสนี้ในการแถลงอีกว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มิได้มีเจตนาในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมของไต้หวัน จุดยืนของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์เป็นเช่นไร จุดยืนของปธน.โจ ไบเดน ก็เป็นเช่นนั้น โดยสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศพันธมิตร ต่างไม่ยินดีที่จะเห็นทั่วโลกกลับเข้าสู่วังวนในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ที่ประเทศมหาอำนาจต้องการแผ่ขยายดินแดนและครอบครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพื่อเกียรติยศความภาคภูมิใจของตนเอง ด้วยการรุกรานโจมตีประเทศรายรอบที่มีขนาดเล็กกว่า
 
Mr. O'BRIEN เผยว่า ทั้งไต้หวันและสหรัฐฯ ต่างคาดหวังให้ประชาคมโลกอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติภาพ เนื่องจากมีเพียงสันติภาพเท่านั้น ที่จะนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมไปถึงความเจริญรุ่งเรืองและมิตรภาพ โดยพวกเราจะไม่ยินยอมสละเสรีภาพหรือหลักการและค่านิยมที่ยึดมั่นร่วมกัน เพื่อแลกกับสันติภาพเพียงชั่วคราว แต่จะผนึกกำลังร่วมกันในการปกป้องสันติภาพให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
 
โดยในวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้จัดเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อให้การต้อนรับ Mr. O'BRIEN และคณะทำงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ – ไต้หวันของสถาบัน GTI พร้อมกล่าวว่า Mr. O'BRIEN เป็นมิตรสหายสำคัญของไต้หวัน ซึ่งสมาชิกคณะตัวแทนหลายท่านได้มุ่งมั่นเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง ซึ่งหลังสิ้นสุดวาระ ก็ยังคงแสดงความห่วงใยไต้หวันอย่างต่อเนื่องและร่วมเป็นกระบอกเสียงให้ไต้หวันอย่างเปิดเผย เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน รัฐบาลไต้หวันขอแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้ประสานความร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน เพื่อส่งมอบความห่วงใยด้านสันติภาพและเสถียรภาพของช่องแคบไต้หวัน ในเวทีการประชุมแบบทวิภาคีหรือพหุภาคี โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน จะเร่งประสานความร่วมมือเพื่อสกัดกั้นการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการจากจีน ควบคู่ไปกับการธำรงรักษาเสรีภาพและการเปิดกว้างในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป