กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 24 มีนาคม 2023
เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Mr. Gabriel Dominguez บรรณาธิการภาคพื้นเอเชียของ The Japan Times โดยเนื้อหาในบทสัมภาษณ์ได้ถูกอัปโหลดไว้บนเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว ในวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ในหัวข้อ “ไต้หวันก้าวเข้าสู่ภาวะปกติใหม่ทางการทูต (Taiwan moves to new normal in diplomacy)” และได้รับความสนใจในวงกว้างจากทุกฝ่ายในญี่ปุ่น
รมว.อู๋ฯ ชี้ว่า ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่คนไต้หวันชื่นชอบมากที่สุด การติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของทั้งสองฝ่ายเป็นไปอย่างคึกคัก มีความใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก ในทางเศรษฐกิจก็เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าหรือการลงทุนต่างก็มีการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ รูปแบบการติดต่อระหว่างไต้หวันและญี่ปุ่นจึงได้กลายมาเป็นรูปแบบที่หลายประเทศนำไปใช้ และในระยะหลังมานี้ ก็มีคณะตัวแทนจากหลายประเทศเดินทางมาเยือนไต้หวัน เพื่อแสดงความสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อไต้หวัน ซึ่งไม่หวั่นเกรงภัยคุกคามจากจีน
รมว.อู๋ฯ เห็นว่า ในระยะหลังมานี้การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างไต้หวันและญี่ปุ่นมีความใกล้ชิดมากขึ้น สภานิติบัญญัติของไต้หวันและสมาชิกรัฐสภาฝ่ายรัฐบาลของญี่ปุ่นได้ร่วมกันผลักดันการเจรจาแบบ 2+2 ในด้านการทูตและกลาโหม โดยญี่ปุ่นได้เข้าร่วมในกรอบความร่วมมือ Global Cooperation and Training Framework (GCTF) ที่เป็นโครงการร่วมระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ จนค่อยๆ ยกระดับขึ้นเป็นผู้ก่อตั้งร่วมหรือผู้จัดงานร่วม ในการจัดการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ความมั่นคงทางทะเล การป้องกันการเผยแพร่ข่าวปลอม การให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งต่างก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
รมว.อู๋ฯ ยังชี้ว่า ไต้หวันและญี่ปุ่นต่างก็ตั้งอยู่ในแนวหน้าของแนวป้องกันทางทะเล ที่ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายจากการคุกคามทางทหารของจีน ในช่วงหลายปีมานี้ ญี่ปุ่นได้เพิ่มการติดตั้งระบบการป้องกันประเทศทางหมู่เกาะในแถบตะวันตกเฉียงใต้ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น แก้ไขกฏหมาย 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ และประกาศเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็นร้อยละ 2 ของ GDP ภายในเวลา 5 ปี แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจในการปกป้องความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศ ไต้หวันจึงหวังว่า ญี่ปุ่นจะแสดงบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางสันติภาพในพื้นที่แถบทะเลจีนตะวันออกและช่องแคบไต้หวัน
รมว. อู๋ฯ ยังเห็นว่า ความเป็นพันธมิตรทางทหารของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ถือเป็นรากฐานสำคัญของเสถียรภาพทางสันติภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การที่ญี่ปุ่นให้คำมั่นที่จะเพิ่มความรับผิดชอบมากขึ้นในด้านกลาโหม ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อญี่ปุ่น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงในภูมิภาคด้วย ไต้หวันก็จะทำหน้าที่ในการป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ ทั้งภาครัฐและประชาชนของไต้หวัน จะใช้ชีวิตด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้องประชาธิปไตยและเสรีภาพอย่างเต็มกำลัง และเร่งปฏิรูปด้านการทหารและกลาโหมอย่างเต็มที่
รมว.อู๋ฯ ยังกล่าวด้วยว่า ไต้หวันพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตร โดยให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านการพัฒนาทางสาธารณสุข และเทคโนโลยีการเกษตร เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนในประเทศพันธมิตร ซึ่งนี่ก็คือ การให้ความช่วยเหลือแก่ต่างประเทศใน “รูปแบบไต้หวัน” ดังนั้น การขอเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศของไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็น องค์การสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ และกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่างก็ต้องอาศัยประเทศพันธมิตรร่วมเป็นกระบอกเสียง นอกจากความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ ไต้หวันกับสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา อังกฤษ และสหภาพยุโรป ซึ่งต่างก็เป็นพันธมิตรที่มีแนวความคิดคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออกตอนกลาง ต่างก็มีความสัมพันธ์แบบทวิภาคีที่เจริญรุดหน้ามากขึ้น และมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการแสวงหาความสนับสนุนจากเวทีโลก
รมว.อู๋ฯ เห็นว่า เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจีนจะรุกรานไต้หวันเมื่อใด การที่จีนจะก่อสงครามหรือไม่ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ ทั้งความถูกต้องทางกฎหมาย จะสามารถยึดไต้หวันได้ในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่ สหรัฐฯ จะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ การถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ และการสูญเสียภาพลักษณ์ในเวทีโลก แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ เมื่อใดก็ตามที่อำนาจเผด็จการต้องเผชิญกับปัญหาภายในประเทศที่ไม่อาจแก้ไขได้ ก็มักจะสร้างปัญหาในต่างประเทศเพื่อดึงความสนใจไปจากแรงกดดันในประเทศ ซึ่งไต้หวันจะต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะต้องตกเป็นแพะรับบาปสำหรับเรื่องนี้
รมว. อู๋ฯ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า ความทะเยอทะยานในการขยายอำนาจของจีนมิได้จำกัดขอบเขตอยู่เพียงแต่ไต้หวัน แต่ยังมีการแผ่ขยายไปสู่ทะเลจีนตะวันออก ทะเลจีนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงทวีปแอฟริกาที่อยู่ไกลออกไปด้วย เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว จีนและหมู่เกาะโซโลมอนได้ร่วมลงนามในข้อตกลงด้านความมั่นคง ถือเป็นสัญญาณเตือนสำหรับหลายประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ดังนั้น เหล่าประเทศที่ให้ความสำคัญต่อ “ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เปิดกว้างและมีเสรีภาพ” จึงต้องสามัคคีกันยับยั้งการแผ่ขยายของลัทธิอำนาจนิยม
หนังสือพิมพ์ The Japan Times ก่อตั้งขึ้นในปี 1897 ถือเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดและมีการตีพิมพ์มากที่สุดในญี่ปุ่น เนื้อหาที่รายงานจะครอบคลุมถึงประเด็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และกีฬาของทั่วโลก โดยแต่ละปักษ์จะมีการตีพิมพ์มากกว่า 20,000 ฉบับ ยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์รายเดือนประมาณ 8 ล้านครั้ง โดยมีผู้อ่านทางออนไลน์แบบไม่ซ้ำคนประมาณ 3 ล้านราย ซึ่งผู้อ่านส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้มีความรู้และมีความสำคัญในสังคม