ทำเนียบประธานาธิบดีและกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 26 มี.ค. 66
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 26 มี.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ชี้แจงเกี่ยวกับการยุติความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไต้หวัน - ฮอนดูรัส ผ่านการบันทึกวิดีทัศน์ โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้ :
ข้าพเจ้าในฐานะตัวแทนของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) รู้สึกเสียใจมากต่อการยุติความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไต้หวัน – ฮอนดูรัสในครั้งนี้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเรายึดมั่นในแนวคิดว่าด้วยการสนับสนุนการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาว ภายใต้วิสัยทัศน์ที่เปี่ยมด้วยอนาคตและจับต้องได้ ในขอบเขตความสามารถที่พวกเราสามารถยื่นมือให้ความช่วยเหลือได้ โดยพวกเราจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันทางการทูตด้วยกำลังทรัพย์อันไร้ซึ่งความหมายกับฝ่ายจีน
หลายปีมานี้ จีนได้ขัดขวางการเข้ามีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศของไต้หวันทุกวิถีทาง อีกทั้งยังเพิ่มความถี่ในการคุกคามไต้หวันด้วยกำลังทหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการขัดขวางและการข่มขู่เหล่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่า สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสาธารณรัฐประชาชนจีน มิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และก็ไม่สามารถบั่นทอนเจตนารมณ์ของประชาชนชาวไต้หวันที่ยึดมั่นต่อหลักการด้านเสรีภาพและประชาธิปไตย เพื่อก้าวสู่เวทีประชาคมโลกต่อไป
ประชาชนชาวไต้หวันได้พิสูจน์ให้ประชาคมโลกประจักษ์เห็นแล้วว่า พวกเราจะไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดัน โดยที่ความร่วมมือและความเชื่อมโยงด้านการเสริมสร้างสวัสดิการและความมั่นคงนานาชาติ ระหว่างไต้หวัน ประเทศพันธมิตรและกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน จะมีความแนบแน่นมากยิ่งขึ้น อย่างไม่มีเสื่อมคลาย
กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ประกาศแถลงการณ์ว่า ขณะนี้ รัฐบาลของสาธารณรัฐฮอนดูรัสและสาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต หลังจากที่รัฐบาลไต้หวันเข้าร่วมพูดคุยเจรจากับรัฐบาลฮอนดูรัสแล้ว อีกฝ่ายดูไม่มีทีท่าว่าจะร่วมรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันต่อไป เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติ รัฐบาลไต้หวันจึงตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับฮอนดูรัส นับตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. เป็นต้นไป โดยจะยุติโครงการความร่วมมือแบบทวิภาคีทั้งหมด พร้อมทั้งปิดสถานเอกอัครราชทูตไต้หวันในฮอนดูรัส และสถานกงสุลไต้หวันในนครซานเปโดรซูลา รวมไปถึงเรียกตัวเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและพลังงานไฟฟ้า เดินทางกลับสู่ไต้หวัน ตลอดจนเรียกร้องให้ฮอนดูรัสปิดสถานเอกอัครราชทูตฮอนดูรัสในไต้หวันด้วยเช่นเดียวกัน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประธานาธิบดี Xiomara Castro ของฮอนดูรัสและคณะรัฐบาลต่างมีความคาดหวังที่จะสร้างความสัมพันธ์กับจีนเสมอมา ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฮอนดูรัสในปี 2021 ปธน. Castro เคยยื่นเสนอแผนการปรับเปลี่ยนทิศทางการทูต แต่เนื่องด้วยความมุ่งมั่นพยายามในการรักษาและถนอมความสัมพันธ์ของไต้หวัน ทำให้ความสัมพันธ์แบบทวิภาคีระหว่างไต้หวัน – ฮอนดูรัส ในช่วงต้นของวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศของปธน. Castro ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่จีนใช้วิธีเสนอผลประโยชน์ให้แก่ฮอนดูรัสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลอดที่ผ่านมา กต.ไต้หวันและสถานเอกอัครราชทูต ต่างได้เฝ้าจับตาต่อสถานการณ์ล่าสุดและแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม แต่ถึงกระนั้น รัฐบาลภายใต้การนำของปธน. Castro ก็ได้เรียกร้องเงินบริจาคจำนวนสูงถึงพันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากไต้หวัน พร้อมทั้งดำเนินการเทียบเคียงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากแผนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือจากจีนและไต้หวัน ซึ่งตลอดที่ผ่านมา ไต้หวันได้ยื่นเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือในขอบเขตที่สามารถส่งมอบให้ได้อย่างสุดกำลัง บนพื้นฐานของมิตรภาพที่มีแต่ดั้งเดิม แต่รัฐบาลฮอนดูรัสก็ยังคงเรียกร้องไม่สิ้นสุด หรือแม้กระทั่งเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลไต้หวันได้รับความเสียหายอย่างหนัก
หลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลไต้หวันได้เร่งผลักดันโครงการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ของประชาชนชาวฮอนดูรัส ควบคู่ไปกับการส่งมอบความช่วยเหลือด้านการพัฒนาประเทศชาติในภาพรวม ซึ่งครอบคลุมในด้านต่างๆ มากมาย อาทิ การแพทย์ การศึกษา การฝึกอบรมทางวิชาชีพ พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจและการค้า สิทธิสตรี เป็นต้น อีกทั้งในระหว่างที่ฮอนดูรัสได้รับผลกระทบจากวาตภัยและอุทกภัย ไต้หวันก็ได้ทุ่มงบประมานในการช่วยฟื้นฟูบูรณะหลังจากที่ได้รับข่าวโดยทันที อีกทั้งในช่วงหลายปีมานี้ คณะผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีจากไต้หวัน ก็ได้ดำเนินภารกิจมากมายที่เกี่ยวกับโครงการอุตสาหกรรมการเกษตรและการประมง รวมถึงการแพทย์ นอกจากนี้ รัฐบาลไต้หวันยังได้จัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าแก่ฮอนดูรัส ซึ่งการตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ระหว่างกันในครั้งนี้ เกิดจากการที่ปธน. Castro ไม่แยแสต่อความช่วยเหลือและมิตรภาพที่ไต้หวันส่งมอบให้มาอย่างยาวนาน และหันไปเปิดการเจรจากับจีนแทน ทำให้รัฐบาลไต้หวันรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่างมาก
กต.ไต้หวันขอเตือนประชาคมโลกว่า จีนมักให้คำมั่นสัญญาที่สวยหรูแต่จับต้องไม่ได้ เพื่อหลอกล่อให้ประเทศพันธมิตรหันเหทิศทางความสัมพันธ์ทางการทูตไปผูกสัมพันธ์กับจีนแทน แต่หลังจากที่บรรลุเป้าหมายทางการทูตแล้ว จีนกลับไม่ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ หรือแม้แต่บีบบังคับให้ประเทศที่ขอความช่วยเหลือ จมอยู่ในกับดักหนี้สินมหาศาล กต.ไต้หวันจึงขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกตระหนักเห็นถึงข้อเท็จจริงของแก่นแท้ที่ว่า “พูดอย่างทำอย่าง”
ในขณะเดียวกัน กต.ไต้หวัน ก็ขอเตือนรัฐบาลปักกิ่งว่า พฤติกรรมการหลอกล่อประเทศพันธมิตรด้วยคำมั่นสัญญาจอมปลอม เพื่อบีบพื้นที่บนเวทีโลกของไต้หวัน ได้สร้างบาดแผลภายในจิตใจให้ประชาชนชาวไต้หวันอย่างสาหัส และส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน นับวันยิ่งไกลห่างออกไปคนละทิศละทาง กต.ไต้หวันขอย้ำว่า สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองโดยสมบูรณ์ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน และรัฐบาลจะไม่ยอมจำนนต่อรัฐบาลที่ยึดมั่นในระบอบเผด็จการ แต่จะยึดมั่นในค่านิยมด้านเสรีภาพและประชาธิปไตย พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรและกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ตลอดจนมุ่งมั่นก้าวไปสู่บทบาทที่สมควรได้รับในเวทีนานาชาติต่อไป
นอกจากนี้ กต.ไต้หวันยังได้ชี้แจงต่อกรณีที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแถลงการณ์เรื่องการยุติความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไต้หวัน – ฮอนดูรัสของ โดยมีใจความสำคัญ ดังนี้ :
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ที่ผ่านมา สภาความมั่นคงแห่งทำเนียบขาวสหรัฐฯ และสถาบันอเมริกาในไต้หวัน (AIT/T) ได้ร่วมประกาศแถลงการณ์ว่าด้วยการยุติความสัมพันธ์ทูต ระหว่างไต้หวัน - ฮอนดูรัส โดยระบุว่า มีหลายกรณีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า คำมั่นสัญญาที่จีนใช้ล่อลวงกลุ่มประเทศพันธมิตรไต้หวัน เป็นเพียงลมปากที่ไม่ได้รับการสานต่อให้บรรลุผล โดยสหรัฐฯ จะเร่งสร้างและขยายการมีปฏิสัมพันธ์กับไต้หวันในเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไต้หวันเป็นประเทศที่สามารถไว้วางใจได้ และเป็นพันธมิตรด้านประชาธิปไตยที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ซึ่งไต้หวันได้อุทิศคุณประโยชน์ที่ยั่งยืนให้แก่นานาประเทศทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัดเสมอมา รัฐบาลสหรัฐฯ จึงขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกขยายขอบเขตการแลกเปลี่ยนกับไต้หวัน และยึดมั่นในหลักการธรรมาภิบาล ความโปร่งใสและหลักนิติธรรม กต.ไต้หวันขอขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยใจจริงต่อแถลงการณ์ฉบับนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไต้หวันต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบที่ยากลำบากเช่นนี้