กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 10 เม.ย. 66
ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เดินทางเยือนประเทศพันธมิตรอย่างสาธารณรัฐกัวเตมาลาและเบลีซ ตาม “แผนการเยือนหุ้นส่วนประชาธิปไตยเพื่อความรุ่งเรืองร่วมกัน” ในช่วงระหว่างวันที่ 29 มี.ค. – 7 เม.ย. และได้แวะเยือนสหรัฐฯ ระหว่างการเดินทางทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งประสบความราบรื่นทุกประการ ประชาชนชาวไต้หวันก็พลอยได้รับเกียรติและรู้สึกภาคภูมิใจตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า การเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรของผู้นำไต้หวันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย และเป็นธรรมเนียมที่มีมาแต่ดั้งเดิม การกล่าวอ้างและการแสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงเกินเหตุ นอกจากจะเป็นการสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนชาวไต้หวันแล้ว ยังเป็นการเผยให้เห็นถึงธาตุแท้ของประเทศอำนาจเผด็จการ โดยพฤติกรรมการทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันและภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ด้วยกำลังทหาร ล้วนแล้วแต่ขัดต่อหลักการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีตามที่ระบุไว้ใน “กฎบัตรสหประชาชาติ” กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) จึงขอประณามอย่างรุนแรง
สภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ได้มีการแถลงบ่อยครั้งว่า การแวะเยือนสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่ดั้งเดิม จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลจีนหยุดแสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงเกินกว่าเหตุอันควร โดยกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ร่วมแถลงว่า ความพยายามของจีนในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบัน จะไม่ส่งผลกระทบต่อการอำนวยความสะดวกให้ผู้นำไต้หวันในระหว่างการแวะเยือนสหรัฐฯ ทั้งในปัจจุบันและภายภาคหน้า เนื่องจากเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือสืบมาตราบจนปัจจุบัน รัฐบาลจีนเพียงแค่อาศัยข้ออ้างเหล่านี้เพื่อทำการซ้อมรบเท่านั้น
สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) มิได้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน และไม่เคยมีสักวันที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าปกครองไต้หวัน ซึ่งนี่เป็นประวัติศาสตร์และสถานภาพในปัจจุบันของสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน ที่ดำรงอยู่มานานแล้ว และเป็นข้อเท็จจริงที่ประชาคมโลกร่วมรับทราบกันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง การแลกเปลี่ยนและการไปมาหาสู่ระหว่างกลุ่มประเทศประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ประเทศลัทธิอำนาจนิยมไม่สามารถเข้าใจได้ จึงไม่มีสิทธิก้าวก่าย ไต้หวันในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของประชาคมโลกที่มีความรับผิดชอบ จะไม่สร้างความขัดแย้งและไม่ยุยงให้เกิดกรณีพิพาท เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันทางการทหารจากจีนที่นับวันยิ่งใกล้ตัวมากขึ้นทุกที รัฐบาลไต้หวันจะรับมือด้วยสติและความสุขุมเยือกเย็น พร้อมประสานและติดต่อเจรจากับสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมสกัดกั้นการแผ่ขยายและการรุกรานของประเทศเผด็จการ ตลอดจนเพื่อร่วมธำรงรักษาความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎกติกาสากล รวมไปถึงเสรีภาพและการเปิดกว้างในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ให้คงอยู่สืบต่อไป