กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 10 เม.ย. 66
เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา Mr. Terrance Drew นายกรัฐมนตรีแห่งเซนต์คิตส์และเนวิสได้ยื่นเสนอญัตติฉุกเฉินในวาระการประชุมรัฐสภาเซนต์คิตส์และเนวิส โดยมี Mr. Mark Brantley ประธานฝ่ายบริหารแห่งเกาะเนวิสและแกนนำฝ่ายค้านในรัฐสภาเซนต์คิตส์และเนวิส เป็นผู้ให้การสนับสนุนหลัก โดยเหล่าสมาชิกรัฐสภามีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผ่านญัตติว่าด้วยการสนับสนุนไต้หวันเข้าร่วมองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย สหประชาชาติ (UN) องค์การอนามัยโลก (WHO) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลเซนต์คิตส์และเนวิสให้การสนับสนุนไต้หวันเข้ามีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศอย่างไม่แบ่งแยกฝักฝ่าย กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ขอขอบคุณด้วยใจจริง
ญัตติข้างต้นระบุว่า รัฐสภาเซนต์คิตส์และเนวิสในฐานะสมาชิกของสโมสรฟอร์โมซาของกลุ่มประเทศในพื้นที่แถบทะเลแคริบเบียน ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ พร้อมให้การยอมรับต่อค่านิยมที่ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นร่วมกัน เคารพต่อหลักนิติธรรม ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศในเชิงลึก โดยสาระสำคัญของเนื้อความในญัตติเน้นย้ำว่า รัฐสภาเซนต์คิตส์และเนวิสได้ให้การยอมรับว่า ไต้หวันเป็นผู้อุทิศคุณประโยชน์ในด้านสาธารณสุขโลก ซึ่งไต้หวันมีบทบาทสำคัญต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และความมั่นคงทางการบินระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ รัฐสภาฯ จึงได้ให้การสนับสนุนไต้หวัน เข้ามีส่วนร่วมในสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศ โดยยึดมั่นในหลักการความเชี่ยวชาญ การลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างสร้างสรรค์
นับเป็นครั้งแรกที่รัฐสภาเซนต์คิตส์และเนวิสร่วมเป็นกระบอกเสียงให้การสนับสนุนไต้หวันเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไต้หวัน – เซนต์คิตส์และเนวิส ที่ดำเนินไปเชิงลึก
กต.ไต้หวันแสดงจุดยืนแน่วแน่ว่า ไต้หวันจะเร่งผลักดันการเข้ามีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในองค์การระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางความร่วมมือในด้านต่างๆ ระหว่างสองประเทศ เพื่อเสริมสร้างสวัสดิการและความผาสุกให้เกิดแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ ตลอดจนร่วมบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติร่วมกันต่อไป