ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 8 มิ.ย. 66
เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายไล่ชิงเต๋อ รองประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เดินทางไปร่วม “งานเลี้ยงฉลองมิตรภาพระหว่างไต้หวัน - ออสเตรเลีย” ซึ่งรองปธน.ไล่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อ Ms. Jenny Bloomfield ผู้แทนรัฐบาลออสเตรเลียประจำไต้หวัน สำหรับการอุทิศตนเพื่อคุณประโยชน์และความสนับสนุนที่มีต่อมิตรภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายเสมอมา พร้อมคาดหวังที่จะสร้างความร่วมมือกันในอนาคตอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน และก้าวสู่เป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ตลอดจนร่วมธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ให้คงอยู่สืบไป
ไต้หวัน - ออสเตรเลีย ต่างยึดมั่นในค่านิยมสากลด้านประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมร่วมกัน อีกทั้งยังมีบทบาทที่สำคัญในการธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ภายใต้ความมุ่งมั่นพยายามของ Ms. Bloomfield จะเห็นได้ว่า นับวันความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น
รองปธน.ไล่ฯ ยังชี้ว่า Ms. Bloomfield มาเข้ารับตำแหน่งผู้แทนรัฐบาลออสเตรเลียประจำไต้หวัน ในช่วงระหว่างสถานการณ์โควิด – 19 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งสองประเทศต่างร่วมบริจาคเวชภัณฑ์การป้องกันโรคระบาดให้แก่กัน ควบคู่ไปกับการร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์การป้องกันโรคระบาด เพื่อช่วยเสริมสร้างกลไกการสกัดกั้นโรคระบาดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
รองปธน.ไล่ฯ ชี้ด้วยว่า ในปีที่แล้ว เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบ 40 ปีแห่งการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนรัฐบาลออสเตรเลียในไต้หวัน ทางสนง.ได้จัดกิจกรรมภายใต้หัวข้อ “40 เรื่องราวตลอด 40 ปีที่ผ่านมา” ซึ่งทุกเรื่องราวล้วนแฝงไปด้วยมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างภาคประชาชนระหว่างชาวไต้หวัน - ออสเตรเลีย
รองปธน.ไล่ฯ เผยว่า นับวันความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไต้หวัน – ออสเตรเลียจะยิ่งเป็นไปอย่างแนบแน่นมากขึ้น โดยไต้หวันถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 และหุ้นส่วนทางการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของออสเตรเลีย ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อวัวและไวน์แดงที่ผลิตจากออสเตรเลีย ล้วนได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชนชาวไต้หวันอย่างถ้วนหน้า โดยออสเตรเลียก็เป็นแหล่งที่มาของแร่พลังงานที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวันด้วยเช่นกัน ส่วนไต้หวันก็ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงไปสู่ออสเตรเลีย จึงทำให้ยอดการค้าแบบทวิภาคีระหว่างสองประเทศในปี 2022 มีมูลค่าถึง 31,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังคงมีการขยายตัวเติบโตอย่างต่อเนื่อง
รองปธน.ไล่ฯ เห็นว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูงของไต้หวัน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ครองบทบาทที่สำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานโลก โดยมีจุดเด่นของอุตสาหกรรมและระบบเศรษฐกิจของออสเตรเลียหลายจุดที่สามารถเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันได้ หากทั้งสองประเทศเริ่มเปิดการเจรจาภายใต้ “ความตกลงทางความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ” (ECA) เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน ให้มีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หากไต้หวันสามารถเข้าร่วม “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก” (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership, CPTPP)ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลออสเตรเลีย เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการยกระดับความเข้มแข็งและทรหดของระบบห่วงโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกได้อย่างแน่นอน
เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ไต้หวันมุ่งมั่นผลักดันการพัฒนาพลังงานสีเขียว เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมอย่างกระตือรือร้น โดยรัฐบาลมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการสร้างเสถียรภาพของระบบพลังงานไฟฟ้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ภาคธุรกิจ ประชาชนและสังคม ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลออสเตรเลียก็มุ่งพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน รองปธน.ไล่ฯ จึงคาดหวังที่จะเห็นไต้หวัน – ออสเตรเลีย ร่วมสร้างคุณประโยชน์ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการทำได้ตามเป้าหมาย ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2050
Mr. Anthony Albanese นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย ได้กล่าวในการประชุมย่อยภายใต้หัวข้อ “ความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย” ในการประชุม Shangri-La Dialogue ประจำปีนี้ โดยระบุว่า “พวกเราทุกคนจำเป็นต้องปกป้องสันติภาพและความมั่นคงร่วมกัน” ซึ่งรองปธน.ไล่ฯ รู้สึกชื่นชมและเห็นพ้องในแนวคิดนี้ พร้อมทั้งกล่าวเสริมด้วยว่า ไม่ว่าประเทศใดในโลก ก็ไม่สมควรใช้กำลังอาวุธ เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมในปัจจุบัน ที่เปี่ยมด้วยสันติภาพ หากเกิดความขัดแย้ง ความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากันจะมีมากเกินกว่าผลประโยชน์นานาประการที่อาจจะได้รับ โดยรองปธน.ไล่ฯ หวังที่จะเห็นไต้หวัน – ออสเตรเลีย เสริมสร้างความร่วมมือในการธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ให้คงอยู่สืบไป