สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง วันที่ 26 ก.ค. 66
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และเทศบาลเมืองจีหลง ได้ประสานความร่วมมือกันจัด “กิจกรรมค่ายฝึกอบรมพหุวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่น สำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่” โดยนายจงจิ่งคุน ผู้บัญชาการสตม. แถลงว่า กิจกรรมในครั้งนี้ได้เชิญผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และบุตรธิดา รวม 42 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดการเติมแต่งความคิดสร้างสรรค์ให้แก่สถาปัตยกรรมเก่าแก่ในพื้นที่ อาทิ อาคารสหกรณ์การประมงเจิ้งปิน และอาคารสถานีตำรวจเจิ้งปิน โดยผบช.จงฯ คาดหวังที่จะเห็นเหล่าบุตรธิดาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ประยุกต์ใช้เอกลักษณ์ภูมิลำเนาเดิมของผู้ให้กำเนิด สำแดงความคิดสร้างสรรค์ที่ผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นของไต้หวันอย่างลงตัว สรรค์สร้างจนเกิดเป็นผลงานเชิงพหุวัฒนธรรม
ผบช.จงฯ กล่าวว่า ประเด็นหลักในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาท้องถิ่น โดยในค่ายกิจกรรม นอกจากจะส่งเสริมให้มีการร่วมแลกเปลี่ยนเชิงพหุวัฒนธรรม การถ่ายทอดเทคนิคการทำสไลด์พรีเซนต์และเสน่ห์การนำเสนอบนเวทีแล้ว ยังได้เชิญทีมผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่เข้าร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ยกตัวอย่างเช่น กรณีการเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาที่เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ อย่างอุทยานธรณีเกาะเหอผิง และย่านการค้ารับฝากขายในเมืองจีหลง เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้เข้าใจถึงขั้นตอนการพัฒนาเมือง ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเมือง โดยได้มีการชี้แจงรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติการ และการเข้ามีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เหล่าบุตรธิดาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เข้ามีส่วนร่วมเรียนรู้อย่างเต็มที่ โดยหวังว่าจะเป็นการอัดฉีดพลังความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพใหม่ๆ เข้าสู่การพัฒนาท้องถิ่น
ในจำนวนผู้ฝึกอบรมที่เข้าร่วมค่ายฝึกอบรมพหุวัฒนธรรมในปีนี้ ประกอบด้วยผู้ที่มีบิดาหรือมารดาที่เป็นชาวเวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซียและจีน
ผบช.จงฯ คาดหวังที่จะเห็นผู้เข้าฝึกอบรมร่วมสำแดงความคิดสร้างสรรค์ ประยุกต์ใช้ทรัพยากรที่สั่งสมมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยหวังว่าการนำเสนอผลงานสร้างสรรค์บนเวทีประกวดในวันสุดท้ายของกิจกรรม จะสะท้อนถึงผลงานที่ผสมผสานระหว่าง DNA ภูมิหลังเชิงพหุวัฒนธรรม และองค์ประกอบเรื่องราวในท้องถิ่น สรรค์สร้างจนเกิดเป็น “แผนที่การท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริป” ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เชิงวัฒนธรรม ตลอดจนคาดหวังที่จะเห็นผู้ฝึกอบรมพัฒนาตนเอง สู่การเป็นเมล็ดพันธุ์ด้านการพัฒนาท้องถิ่น เพื่อร่วมเปิดบริบทการพัฒนาที่มีโอกาสเป็นจริงได้มากยิ่งขึ้น