กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 7 พ.ย. 66
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้สัมภาษณ์แก่นายพงศธัช สุขพงษ์ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (Thai PBS) โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้รับการเผยแพร่ผ่านรายงานข่าว เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ในหัวข้อ “รมว.กต.ไต้หวันประเมินแนวโน้มความเป็นไปได้ของสถานการณ์การรุกรานไต้หวันด้วยกำลังอาวุธจากจีน” โดยเนื้อหาฉบับสมบูรณ์ได้อัปโหลดลงบนช่อง Youtube ซึ่งได้รับความสนใจและเสียงตอบรับที่ดีจากทุกแวดวงในไทย
รมว.อู๋ฯ กล่าวว่า จีนกำลังอาศัยวิธีการต่างๆ เพื่อบีบบังคับให้ไต้หวันยอมจำนน ภายใต้แรงกดดัน อาทิ การข่มขู่ด้วยกำลังทหาร การสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และการลิดรอนพื้นที่ในเวทีนานาชาติของไต้หวัน เพื่อการพิชิตเป้าหมายตามกลยุทธ์ “บีบให้คู่ต่อสู้ยอมจำนน แทนการทำสงคราม” เมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายจากจีน ไต้หวันยังคงมุ่งมั่นสวมบทบาทหน้าที่ที่มีความรับผิดชอบในประชาคมโลก หลีกเลี่ยงการเป็นฝ่ายยั่วยุท้าทาย และยินดีที่จะเปิดการเจรจาระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน ภายใต้เงื่อนไขความเท่าเทียมกันและสมศักดิ์ศรี เฉกเช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กล่าวสุนทรพจน์ในวันชาติสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ประจำปี 2023 ว่า “สันติภาพเป็นตัวเลือกเดียวของสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน” โดยไต้หวันจะมุ่งมั่นหลีกเลี่ยงการก่อสงคราม ซึ่งสงครามช่องแคบไต้หวันมิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา และมิใช่ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
รมว.อู๋ฯ ระบุว่า ความทะเยอทะยานที่จีนมีต่อไต้หวันนับวันยิ่งเด่นชัด อันจะเห็นได้จากกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นมากมาย อาทิ เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ปี 2019 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกาศแถลงการณ์ โดยเรียกร้องให้ไต้หวันยอมรับ ข้อเสนอ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ภายใต้ “หลักการจีนเดียว” โดยหวังที่จะผลักให้ไต้หวันตกอยู่ในสถานะเดียวกับฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวไต้หวันไม่ยินยอมที่จะสละวิถีชีวิตรูปแบบประชาธิปไตยและเสรีภาพ พร้อมทั้งแสดงจุดยืนแน่วแน่ว่า จะไม่ก้าวซ้ำรอยเดิมของฮ่องกงอย่างแน่นอน ประชาชนชาวไต้หวันต่างตระหนักดีว่า การปกป้องไต้หวันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเราโดยตรง ซึ่งรัฐบาลนอกจากจะอัดฉีดงบประมาณทางกลาโหมเพิ่มเติม จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ควบคู่ไปกับการผลักดันการปฏิรูปทางกลาโหมแล้ว ยังได้เสริมสร้างกลไกการฝึกอบรมทหารในกองทัพและเน้นย้ำความสำคัญของยุทธวิธีสงครามไร้สมมาตร ตลอดจนมุ่งเสริมสร้างศักยภาพด้านการป้องกันประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง
รมว.อู๋ฯ ตอบขณะให้สัมภาษณ์ว่า ไต้หวันนอกจากจะประณามรัสเซียที่เข้ารุกรานยูเครน พร้อมทั้งดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียแล้ว ทั้งรัฐบาลและภาคประชาชนชาวไต้หวันต่างยื่นมือเข้าให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ยูเครนอย่างกระตือรือร้น โดยไต้หวันได้รับข้อคิดที่ดีมากมายจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย - ยูเครนที่เกิดขึ้น อาทิ ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นตั้งใจของประชาชนชาวยูเครน ในการปกป้องเสรีภาพและอำนาจอธิปไตย เป็นที่น่ายกย่อง ประกอบกับการที่กองทัพทหารยูเครนเลือกใช้ยุทธวิธีสงครามไร้สมมาตรอย่างเกิดประสิทธิภาพ เป็นเรื่องที่ไต้หวันควรเรียนรู้ และการที่นานาประเทศส่งมอบความช่วยเหลือทางการทหารและความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ให้แก่ยูเครน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพลังสนับสนุนจากประชาคมโลก ด้วยเหตุนี้ ไต้หวันจึงมุ่งมั่นแสวงหาเสียงสนับสนุนจากประชาคมโลก ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประเทศประชาธิปไตย อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป แคนาดา ออสเตรเลียและญี่ปุ่น
รมว.อู๋ฯ กล่าวเสริมว่า ปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบไต้หวันครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 50 ของโลก และอุปทานของแผ่นชิปที่ผลิตในไต้หวันด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง มีมากกว่าร้อยละ 90 หากเกิดสงครามขึ้นในช่องแคบไต้หวัน จะส่งผลให้ระบบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเกิดภาวะขาดช่วง ซึ่งจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อประชาคมโลกและ
ระบบเศรษฐกิจ รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า ประชาคมโลกตระหนักถึงผลกระทบที่รุนแรงหากจีนเข้าโจมตีไต้หวันด้วยกำลังอาวุธสงคราม จึงทยอยให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเปิดเผย พร้อมทั้งแสดงจุดยืนว่าด้วยการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมในช่องแคบไต้หวันด้วยกำลังอาวุธ ตลอดจนแสดงจุดยืนอย่างแน่ชัดว่า สันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของประชาคมโลก ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้สร้างแรงกดดันต่อจีน และสามารถสกัดกั้นจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ