
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 9 พ.ค. 67
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้มอบ “เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราสุกสกาว” (Order of Brilliant Star with Grand Cordon) ของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้แก่ Mr. Hideo Tarumi อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติของ Mr. Tarumi ที่ได้สร้างคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงลึกระหว่างไต้หวัน – ญี่ปุ่น พร้อมนี้ ปธน.ไช่ฯ ยังชี้ว่า Mr. Tarumi ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ด้านการทูต และมุ่งแสวงหาโอกาสความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายเสมอมา จึงพัฒนามาเป็นความสัมพันธ์แบบทวิภาคีในวันนี้ ปัจจุบัน ไต้หวัน – ญี่ปุ่นได้ก้าวสู่ต้นแบบของระบอบประชาธิปไตยที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่นในค่านิยมด้านเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นพลังสำคัญในการธำรงรักษาสันติภาพในภูมิภาคให้คงอยู่ ปธน.ไช่ฯ จึงขอใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อ Mr. Tarumi ที่มุ่งมั่นในการปูรากฐานความมั่นคงของความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – ญี่ปุ่น ให้คงอยู่อย่างแนบแน่น
ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า Mr. Tarumi เป็นมิตรสหายที่ผูกสัมพันธ์กับไต้หวันมาอย่างยาวนาน และยังเป็นบุคคลสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่น ให้เป็นไปในเชิงลึกเสมอมา การมอบ “เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราสุกสกาว” ในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการแสดงความขอบคุณต่อ Mr. Tarumi สำหรับการอุทิศคุณประโยชน์ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายในฐานะตัวแทนภาคประชาชนไต้หวัน
ปธน.ไช่ฯ ยังชี้ว่า ตลอดการทำงานในตำแหน่งของ Mr. Tarumi ได้มีการสร้างความสัมพันธ์กับไต้หวันในเชิงลึกอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าประจำตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการทูตในกรุงโตเกียว หรือเข้าประจำการในไต้หวัน 2 ครั้งที่ผ่านมา Mr. Tarumi เป็นผู้ที่ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ทางการทูต อย่างเช่นในกรณีที่ Mr. Tarumi มุ่งผลักดันมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน ทำให้ขณะนี้ ญี่ปุ่นได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในหมู่ประชาชนชาวไต้หวันแล้ว
ปธน.ไช่ฯ ชี้อีกว่า เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนของกลุ่มเยาวชน ระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่น เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว Mr. Tarumi ได้ประชาสัมพันธ์ความมั่นคง ไมตรีจิตและความกระตือรือร้นของไต้หวัน ผ่านการแสดงสุนทรพจน์ในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายในญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาชาวญี่ปุ่นเดินทางมาทัศนศึกษายังไต้หวันเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ปธน.ไช่ฯ ยังกล่าวด้วยว่า Mr. Tarumi มีมิตรสหายมากมายทั้งในไต้หวันและญี่ปุ่น หลายคนต่างสัมผัสได้กับไมตรีจิตอันอบอุ่นของ Mr. Tarumi จึงยินดีที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – ญี่ปุ่น อย่างเต็มที่เสมอมา
โดย Mr. Tarumi กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและขอขอบคุณด้วยใจจริงในการได้รับมอบ “เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราสุกสกาว” จากปธน.ไช่ฯ ในครั้งนี้ ตนชอบคำพูดที่ว่า “หากมีวาสนาต่อกัน แม้ไกลเพียงใดก็จะเวียนมาพบกัน แต่หากไร้ซึ่งวาสนา แม้อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ก็ไม่มีวันมาบรรจบกัน” เมื่อปลายปีที่แล้ว Mr. Tarumi ได้สิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการทูต รวมระยะเวลากว่า 40 ปี และหันมาสนใจในด้านการถ่ายภาพ โดยในระหว่างการดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการทูต ตนและไต้หวัน รวมไปถึงปธน.ไช่ฯ นายชิวอี้เหริน ที่ปรึกษาทำเนียบประธานาธิบดี และนายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และมิตรสหายอีกมากมาย ได้ผูกความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น
Mr. Tarumi กล่าวอีกว่า 20 กว่าปีก่อน ตนได้รับมอบหมายให้เดินทางมาประจำการในไต้หวันเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับการต้อนรับอันแสนอบอุ่นจากประชาชนชาวไต้หวันจำนวนมาก จากการใช้ชีวิตในไต้หวันครั้งนั้น ทำให้สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างไต้หวัน – ญี่ปุ่น เนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติของทั้งสองฝ่าย เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงดูแลซึ่งกันและกันตลอดมา การได้รับมอบ “เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราสุกสกาว” ในครั้งนี้ ยิ่งทำให้ตนมีความยอมรับต่อไต้หวันเพิ่มมากขึ้น
Mr. Tarumi ยังกล่าวว่า ขณะนี้ตนเป็นช่างภาพ และเป็นศาสตราจารย์ที่มุ่งวิจัยความสัมพันธ์สองฝั่งช่องแคบไต้หวันของมหาวิทยาลัย Ritsumeikan University ด้วย พร้อมเชื่อว่า แต่นี้ไปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน จะมีส่วนเกี่ยวพันกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
Mr. Tarumi ชี้ว่า ในฐานะที่เป็นช่างภาพ ตนได้ตระเวณเก็บภาพทั่วทุกพื้นที่ทางภาคเหนือของไต้หวัน ในระหว่างที่เข้าประจำการในไต้หวัน ซึ่งรวมถึงกรุงไทเป นครนิวไทเปและเมืองอี๋หลาน อันล้วนแต่เป็นสถานที่ที่ตนชื่นชอบ ในปี พ.ศ.2561 ภายใต้ความช่วยเหลือของนายชิวอี้เหริน ตนประสบความสำเร็จในการจัดนิทรรศการภาพถ่ายในอาคารทำเนียบประธานาธิบดี จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตจะสามารถจัดกิจกรรมเช่นเดียวกันนี้ขึ้นในพื้นที่ทางภาคใต้ของไต้หวันด้วย