กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 17 พ.ย. 67
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมการเจรจาหารือที่กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู โดยในระหว่างการพูดคุย ปธน.ไบเดนได้แสดงจุดยืนคัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมในปัจจุบันด้วยวิธีการที่ฉาบฉวย พร้อมหวังที่จะเห็นทั้งสองฝ่ายร่วมแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสองฝั่งช่องแคบไต้หวันด้วยสันติวิธี และย้ำว่า สันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน สอดคล้องกับผลประโยชน์สูงสุดของประชาคมโลก ด้วยเหตุนี้ ปธน.ไบเดน จึงขอเรียกร้องให้จีนยุติพฤติกรรมใดๆ ที่เป็นการบ่อนทำลายซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ขอแสดงความขอบคุณและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการแสดงจุดยืนอันหนักแน่นของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีต่อการธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน ในการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ - จีน ครั้งนี้
นอกจากนี้ กต.ไต้หวันยังรู้สึกขอบคุณต่อรัฐบาลไบเดนที่ให้ความสำคัญ และการประยุกต์ใช้แนวทางต่างๆ เพื่อธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ด้วยวิธีการที่เป็นรูปธรรม ซึ่งรวมถึงแถลงการณ์ร่วมหลัง “การประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้” ที่นอกจากจะแสดงจุดยืนว่าด้วยความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันว่า เป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้ในความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก พร้อมทั้งยังระบุถึงการร่วมจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการแบบพหุภาคี เพื่อบรรจุให้กลไกความร่วมมือและคำมั่นต่างๆ มีความรุดหน้าอย่างเป็นระบบ เพื่อเป้าหมายที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรือง ความเชื่อมโยง ความยืดหยุ่น เสถียรภาพและความมั่นคงให้เกิดขึ้นในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกอย่างยั่งยืนต่อไป
กต.ไต้หวันยังพบว่า แถลงการณ์ที่ประกาศโดยรัฐบาลจีน หลังเสร็จสิ้นการหารือในครั้งนี้ ฝ่ายจีนได้กล่าวอ้างถึงเนื้อความที่ขัดต่อข้อเท็จจริงซึ่งเกี่ยวกับไต้หวัน และความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ โดยกต.ไต้หวันชี้แจงว่า สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสาธารณรัฐประชาชนจีน มิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า เฉกเช่นเดียวกับที่หลายฝ่ายของสหรัฐฯ ชี้ชัดว่า จีนสร้างความท้าทายในพื้นที่รายรอบของไต้หวันด้วยกำลังทางทหารอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค และเป็นภัยคุกคามรุนแรงที่ส่งอันจะผลกระทบต่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจด้วย
กต.ไต้หวันขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกเฝ้าจับตาต่อประเด็นสันติภาพในช่องแคบไต้หวันอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการแสดงความห่วงกังวลต่อความท้าทายที่จีนต้องการจะบ่อนทำลายสถานภาพเดิมในปัจจุบันของช่องแคบไต้หวัน ไต้หวันในฐานะที่เป็นสมาชิกของประชาคมโลกที่มีความรับผิดชอบ จะมุ่งเดินหน้าตาม “แผนปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ 4 มิติ” เพื่อสร้างหลักประกันด้านสันติภาพด้วยศักยภาพ ซึ่งนอกจากเราจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการปกป้องไต้หวันแล้ว ยังจะมุ่งยกระดับแสนยานุภาพในการปกป้องดินแดนด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือกับสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน เพื่อสร้างหลักประกันด้านสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในช่องแคบไต้หวันและภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ให้คงอยู่ต่อไป
นอกจากนี้ ในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคที่จัดขึ้นในสาธารณรัฐเปรู Mr. Ishiba Shigeru นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยังได้แสดงจุดยืนย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน ใน “การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2567 และ “การประชุมผู้นำญี่ปุ่น - จีน” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2567
นอกจากนี้ แถลงการณ์หลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ยังได้กล่าวถึงจุดยืนว่าด้วยการต่อต้านมาตรการใดๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมในปัจจุบันของภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ตลอดจนเน้นย้ำว่า สันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถขาดได้ในด้านความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก นอกจากนี้ นรม. Shigeru ยังได้แถลงในระหว่างการเจรจาของผู้นำญี่ปุ่น – จีน โดยชี้ว่า ตนรู้สึกเป็นกังวลต่อสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออกและสถานการณ์ที่จีนเข้าคุกคามในพื้นที่ช่องแคบไต้หวันด้วยกำลังทหารอย่างต่อเนื่อง จึงขอเรียกร้องให้จีนทำการแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยเร็ว