
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 7 ธ.ค. 67
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วม “กิจกรรมวันสิทธิมนุษยชนสากล ประจำปี พ.ศ. 2567” ที่จัดขึ้น ณ อุทยานรำลึกเหตุการณ์ความน่าสะพรึงสีขาวในเขตจิ๋งเหม่ย (Jing-Mei White Terror Memorial Park) เพื่อแสดงความเคารพและความขอบคุณต่อเหล่าวีรชนที่มุ่งมั่นกล้าหาญอุทิศตนเพื่อประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธิมนุษยชนของไต้หวัน โดยปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า บนเส้นทางแห่งประชาธิปไตย การเปลี่ยนผ่านเพื่อสร้างความยุติธรรมเป็นนโยบายที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง พวกเราควรที่จะยอมเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของประวัติศาสตร์ที่มืดมนเมื่อครั้งอดีต เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพื่อป้องกันมิให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นอีก โดยรัฐบาลจะบังคับใช้มาตรการอย่างกระตือรือร้น ในการเปิดเสวนากับภาคประชาชน ควบคู่ไปกับการธำรงปกป้องค่านิยมด้านประชาธิปไตย เสรีภาพ หลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน โดยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นทุกภาคส่วนร่วมสรรสร้างไต้หวันที่มีความเป็นธรรม เป็นประชาธิปไตยและเปี่ยมด้วยสันติภาพอย่างยั่งยืน
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ตนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางเยือน 3 ประเทศพันธมิตร ตามภารกิจใน “แผนสร้างความเจริญรุ่งเรืองในกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียน มุ่งสู่ความยั่งยืนอัจฉริยะ” โดยไต้หวัน หมู่เกาะมาร์แชลล์ ตูวาลูและปาเลา ต่างก็เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในวัฒนธรรมออสโตรนีเซียน จึงเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่เกิดจากลัทธิอำนาจนิยม แต่ทั้ง 3 ประเทศพันธมิตรเหล่านี้ก็ยังคงยืนหยัดในจุดยืนด้านประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธิมนุษยชน อย่างหนักแน่นมั่นคง
ปธน.ไล่ฯ แสดงทรรศนะว่า ประชาธิปไตยและเสรีภาพได้มาอย่างยากลำบาก แต่กลับสามารถหลุดมือได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น พวกเราจึงจำเป็นต้องสามัคคีกัน ในการรักษาไว้ซึ่งค่านิยมสากลเหล่านี้ให้คงอยู่สืบไป
ไต้หวันอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 38 ปี ทั้งสังคม เศรษฐกิจ หลักธรรมาภิบาลและสิทธิมนุษยชน ล้วนแต่ได้รับความเสียหายที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบจวบจนปัจจุบัน ตราบจนไต้หวันได้ก้าวสู่กระบวนการทางประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์จึงค่อยๆ เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน ซึ่งพวกเราจำเป็นต้องมุ่งแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความไม่เป็นธรรมในประวัติศาสตร์ รัฐบาลจะเดินหน้าแก้ปัญหาด้วยความอ่อนน้อมและยอมรับ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความเข้าใจต่อแก่นแท้ของการปกครองแบบเผด็จการ เพื่อให้ภาคประชาชนผนึกกำลังสามัคคี ในการหลีกเลี่ยงมิให้ไต้หวันถูกรุกรานและได้รับผลกระทบจากลัทธิอำนาจนิยมอีก มีเพียงการรับรู้ข้อเท็จจริง เกิดความเข้าใจระหว่างกัน จึงจะสามารถสนทนากันอย่างมีความหมาย ภาคประชาสังคมไต้หวันไม่แบ่งแยกกลุ่มชนและพื้นที่ มีเพียงการพูดจาด้วยความเข้าใจ จึงจะสามารถสร้างรากฐานความเชื่อมั่นในภาคประชาสังคมให้เป็นปึกแผ่นเดียวกันได้
ปธน.ไล่ฯ ชี้อีกว่า ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต เราสามารถให้อภัย แต่ควรที่จะระลึกไว้เป็นบทเรียน แนวทางที่ดีที่สุดในการระลึกประวัติศาสตร์ คือการมุ่งแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง บันทึกเรื่องราวสาเหตุต้นตอและความเป็นไป รวมไปถึงจดบันทึกเรื่องราวสิ่งละอันพันละน้อยที่เคยเกิดขึ้น ณ ดินแดนผืนนี้ อีกทั้งพวกเราต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รับทราบโดยถ้วนหน้า และสืบสานให้คงอยู่ต่อไปทุกยุคทุกสมัย จึงจะสามารถก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแทรกซึมเชิงวัฒนธรรม โดยกำหนดให้ภาคประชาชนเป็นกลุ่มเป้าหมายในการส่งเสริมการศึกษาด้านการเปลี่ยนผ่านเพื่อคืนความยุติธรรม จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายระยะยาวในแผนปฏิบัติการว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านเพื่อคืนความยุติธรรมได้
ในระหว่างกิจกรรม นายหลีหย่วน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ยังได้เป็นตัวแทนมอบใบประกาศเกียรติคุณเพื่อแสดงความขอบคุณต่อกลุ่มบุคคลที่เก็บรักษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน และได้ให้ความอนุเคราะห์ในการบริจาคเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
ในโอกาสนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังได้แสดงความนับถือสูงสุดต่อผู้ได้รับผลกระทบทางการเมืองและสมาชิกครอบครัว ที่สละผลประโยชน์ส่วนตนในการมุ่งสร้างคุณประโยชน์ด้านสิทธิมนุษยชน พร้อมนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังเน้นย้ำว่า เราไม่ควรปล่อยให้ประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาดเกิดขึ้นซ้ำอีก เส้นทางประชาธิปไตยของไต้หวัน ไม่สามารถเดินย้อนกลับได้ ปธน.ไล่ฯ แสดงจุดยืนชัดเจนว่า จะส่งเสริมให้ประชาคมโลกตระหนักว่า ไต้หวันเป็นต้นแบบด้านประชาธิปไตย และเป็นพลังสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองระดับโลก
ปธน.ไล่ฯ ยังได้หยิบยกสถานการณ์การเข้าตรวจการณ์ภารกิจการประยุกต์ใช้ข้อมูลเปิดของภาครัฐในหอจดหมายเหตุแห่งชาติไต้หวัน เนื่องในวันรำลึกการยกเลิกกฎอัยการศึก ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 โดยย้ำว่า ทุกหน่วยงานของรัฐบาลควรส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมเกิดความเข้าใจต่อประวัติศาสตร์ในยุคกฎอัยการศึก เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนได้มองเห็นข้อเท็จจริงในอดีต และส่งเสริมให้เกิดการสนทนาในสังคมต่อไป