
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 16 ธ.ค. 67
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วม “การประชุมเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 12” โดยมีสภาบริหารเป็นเจ้าภาพ พร้อมกล่าวว่า นวัตกรรมทางเทคโนโลยีสามารถช่วยในการพัฒนาภูมิภาคให้เกิดความสมดุล ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (วันที่ 12 ธันวาคม 2567) คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของสภาบริหารได้มีมติเห็นชอบต่อ “แผนแม่บทการพัฒนาใน 6 ภูมิภาคหลัก” ซึ่งนอกจากจะมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ของไต้หวันแล้ว ยังจะมุ่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณูปโภคที่สำคัญ เช่น รางรถไฟ ทางหลวง สถานพยาบาล วัฒนธรรม การท่องเที่ยวและที่พักอาศัย เป็นต้น ซึ่งแผนโครงสร้างพื้นฐานเชิงสาธารณูปโภคแห่งอนาคตที่ถูกกำหนดไว้โดยรัฐบาล เป็นจำนวน 140 รายการ ปัจจุบัน มีจำนวน 100 กว่ารายการที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างกลไกการบริหารปกครองอย่างทั่วถึง และส่งเสริมความเชื่อมโยงในทั่วทุกพื้นที่
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า เมื่อมองย้อนไปสู่ “การประชุมเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์” เมื่อ 8 ปีก่อน รัฐบาลในยุคนั้นกำลังมุ่งผลักดัน “โครงการอุตสาหกรรมนวัตกรรม 5+2” ซึ่งเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในยุคสมัยต่อไปของไต้หวัน ซึ่งในระหว่างการจัดการประชุมเมื่อ 4 ปีก่อน “แผนอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ 6 หลัก” (Six Cores Strategic Industries) ได้กลายมาเป็นทิศทางการดำเนินนโยบายหลักของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งบรรลุวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรม ความหลากหลายและการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายในปี พ.ศ. 2573
เมื่อต้องเผชิญกับการพัฒนาที่รุดหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ รวมไปถึงปัจจัยทางการเมืองตามภูมิรัฐศาสตร์ พวกเราจึงจำเป็นต้องยึดมั่นในรากฐานการพัฒนาตามแผนแม่บท 2 รายการข้างต้น ควบคู่ไปกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนมุ่งผลักดันอุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้ 5 รายการหลัก ได้แก่ การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การควบคุมด้านความมั่นคง และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับศักยภาพทางอุตสาหกรรมของไต้หวัน
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ในระหว่างที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี งบประมาณด้านเทคโนโลยีของรัฐบาลกลาง มีมูลค่าสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญไต้หวัน และขณะนี้ ได้มีการจัดสรรงบประมาณทางเทคโนโลยีในภาพรวมของรัฐบาลในปีหน้า (พ.ศ. 2568) ไว้ที่ 196,500 ล้านเหรียญไต้หวัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 7,700 ล้านเหรียญไต้หวัน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมทางเทคโนโลยี โดยพวกเราจะยังคงมุ่งมั่นผลักดันให้ไต้หวันก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระดับสากลต่อไป
ปธน.ไล่ฯ เชื่อว่า นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาที่สมดุลในภูมิภาค ตลอดจนเป็นการบูรณาการระหว่างสังคมเชิงมนุษยศาสตร์และเทคโนโลยี สรรสร้างสภาพแวดล้อมการดำเนินชีวิต ที่เปี่ยมด้วยความยืดหยุ่นทางเทคโนโลยี ความทรหดทางสังคม ความยืดหยุ่นทางสภาพแวดล้อมและความทรหดทางเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของภาคประชาชน และส่งเสริมให้ไต้หวันมีศักยภาพที่เข้มแข็งในการรับมือกับความท้าทายรูปแบบต่างๆ ต่อไป
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ในปีนี้ ไต้หวันได้สร้างผลสัมฤทธิ์ที่ยอดเยี่ยมในด้านการพัฒนาทางเทคโนโลยี จากรายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลโลก ที่จัดทำโดยสถาบัน IMD (International Institute for Management Development) แห่งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า ไต้หวันครองอันดับที่ 2 ในด้าน “บุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาต่อประชากร 1000 คน” ส่วน “ค่าใช้จ่ายทางการวิจัยและพัฒนาของประเทศต่อ GDP” “สัดส่วนการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงต่อ GDP” และ “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน” ไต้หวันต่างครองอันดับ 3 ของโลก
ปธน.ไล่ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไต้หวันมีศักยภาพ เทคโนโลยีและบุคลากร พวกเราจึงจำเป็นต้องสรรสร้างผลสัมฤทธิ์ทางเทคโนโลยีที่สมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง “การประชุมเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” ก็คือแพลตฟอร์มสำคัญที่ระดมความคิดเห็นของทุกแวดวง ภายใต้ความมุ่งมั่นพยายามของทุกฝ่าย ไม่ว่าหัวข้อหลัก หัวข้อย่อยและมาตรการเชิงกลยุทธ์ต่างๆ ในการประชุมครั้งนี้ จะถูกนำมาใช้เป็นหลักอ้างอิงในการดำเนินโครงการพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ของไต้หวัน ซึ่งคณะรัฐบาลจะมุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มกำลังต่อไป
ในช่วงท้าย ปธน.ไล่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อการเข้าร่วมของทุกฝ่าย พร้อมหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะอาศัยประสบการณ์และความคิดเห็นของทุกฝ่าย ในการส่งเสริมให้นโยบายทางวิทยาศาสตร์ของไต้หวัน มีความครอบคลุมสมบูรณ์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสอดคล้องกับความต้องการของการพัฒนาทางอุตสาหกรรม แต่ยังสามารถนำมาซึ่งวิถีชีวิตที่ดีงามให้แก่ประชาชนอีกด้วย