ทำเนียบประธานาธิบดีและกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 11 ม.ค. 68
ต่อกรณีเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ตามเวลาในเขตตะวันออกของสหรัฐฯ ทำเนียบขาวแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง คำมั่นอันหนักแน่นของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก” โดยได้แสดงจุดยืนที่ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้วิธีการที่หลากหลายในการส่งมอบความช่วยเหลือด้านการเสริมสร้างแสนยานุภาพในการปกป้องประเทศด้วยการพึ่งพาตนเองแก่ไต้หวัน พร้อมทั้งแสดงจุดยืนในการธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก และช่องแคบไต้หวัน โดยเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 นางกัวหย่าฮุ่ย โฆษกทำเนียบประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ประกาศขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยใจจริง ที่ดำเนินการตามคำมั่นด้านความมั่นคงที่มีต่อไต้หวันด้วยวิธีการที่เป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางความร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ ในเชิงลึก ตลอดจนให้การสนับสนุนไต้หวันในการยกระดับศักยภาพและความทรหดในการปกป้องประเทศ อย่างเต็มที่
กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เผยว่า แถลงการณ์ข้างต้นยังได้มีการแสดงจุดยืนว่าด้วยการที่รัฐบาลโจ ไบเดน อาศัยมาตรการในหลากหลายรูปแบบ อาทิ "เงินช่วยเหลือทางการทหารต่างประเทศ" (Foreign Military Financing, FMF) "การมอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมผ่านการใช้อำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" (Presidential Drawdown Authority, PDA) และการเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันประเทศภายใต้ “โครงการฝึกอบรมทางทหารนานาชาติ” (IMET) เข้าช่วยเสริมสร้างแสนยานุภาพด้านการปกป้องประเทศด้วยการพึ่งพาตนเองให้แก่ไต้หวัน เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน พร้อมกันนี้ กต.ไต้หวันยังเห็นว่า แถลงการณ์ดังกล่าวได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในโครงการวางสายเคเบิลใต้น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ซึ่งเป็นความริเริ่มที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการสื่อสารดิจิทัลในภูมิภาคนี้ให้ดียิ่งขึ้น โดยความร่วมมือแบบพหุภาคีเช่นนี้ ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่เกิดจากการบูรณาการการทูตเชิงค่านิยม การทูตเชิงพันธมิตรและการทูตเศรษฐกิจ รวมเป็น “การทูตเชิงบูรณาการ” ซึ่งนอกจากไต้หวันจะเป็นพลังสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาคและความเจริญรุ่งเรืองในระดับสากลแล้ว ยังถือเป็นหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้ในการธำรงรักษาความมั่นคงและความทรหดทางเศรษฐกิจในระดับสากลอีกด้วย
นอกจากจะมีการกล่าวรายชื่ออาวุธยุทโธปกรณ์ในแถลงการณ์แล้ว ในวาระการดำรงตำแหน่งของรัฐบาลโจ ไบเดน ได้มีการอนุมัติจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ไต้หวันเป็นจำนวนรวม 19 ครั้ง เพื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบายการอนุมัติจำหน่ายอาวุธให้ไต้หวันเป็นวาระประจำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการบรรลุคำมั่นว่าด้วยการยกระดับแสนยานุภาพทางการทหารเพื่อการปกป้องตนเองของไต้หวันอย่างเป็นรูปธรรม ดังที่ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้กล่าวในสุนทรพจน์เนื่องในวันปีใหม่ 2568 ว่า “ยิ่งไต้หวันมีความมั่นคงมากขึ้นเพียงใด โลกก็จะมีความมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไต้หวันมีความทรหดแข็งแกร่ง กลไกการป้องกันประชาธิปไตยของโลก ก็ยิ่งมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้นเท่านั้น” นอกจากนี้ Mr. Antony Blinken รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ยังได้เรียกร้องต่อนานาประเทศว่า เรื่องของไต้หวันมิใช่เป็นเรื่องของจีน แต่เป็นประเด็นของโลก ซึ่งทุกฝ่ายได้ประจักษ์แล้วว่า หลายปีที่ผ่านมา ภายใต้ความมุ่งมั่นพยายามของไต้หวัน สหรัฐฯ และนานาประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ความสำคัญของสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในช่องแคบไต้หวัน ได้กลายมาเป็นฉันทามติร่วมกันในระดับสากลแล้ว
ผลสัมฤทธิ์ทางความร่วมมือ ระหว่างสหรัฐฯ – ไต้หวันซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน เป็นการวางรากฐานที่เปี่ยมด้วยเสรีภาพ การเปิดกว้าง ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคงและความทรหด นอกจาก กต.ไต้หวันจะแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลไบเดนด้วยความจริงใจแล้ว ยังหวังที่จะเสริมสร้างความร่วมมือบนพื้นฐานอันดีที่มีอยู่เดิมกับรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมจะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ในเร็ววันนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของไต้หวันในการปกป้องประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความทรหดและศักยภาพการป้องกันประเทศของไต้หวันอย่างครอบคลุม ผ่านการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์กับสหรัฐฯ การปฏิรูปทางกลาโหม และการเสริมสร้างความยืดหยุ่นในภาคประชาสังคม เป็นต้น
