ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
รัฐบาลเพิ่มงบประมาณในการปราบปรามการฉ้อโกง เพื่อร่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
2025-01-14
New Southbound Policy。รัฐบาลเพิ่มงบประมาณในการปราบปรามการฉ้อโกง เพื่อร่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข (ภาพจากสภาบริหาร)
รัฐบาลเพิ่มงบประมาณในการปราบปรามการฉ้อโกง เพื่อร่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข (ภาพจากสภาบริหาร)

สภาบริหาร วันที่ 11 ม.ค. 68
 
หลังจากที่มีสื่อมวลชนในไต้หวันรายงานข่าวเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 โดยชี้ว่า ประชาชนชาวไต้หวันต้องเผชิญกับการถูกฉ้อโกงทางการเงินจนต้องสูญเสียทรัพย์สินในมูลค่ามหาศาล โดยที่รัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ มารับมือ ด้วยเหตุนี้ ศูนย์บัญชาการปราบปรามการฉ้อโกง ภายใต้การกำกับดูแลของสภาบริหาร สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) จึงได้ออกมาแถลงว่า จากข้อมูลสถิตินับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2566 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2567 มีผู้เข้าถึงข้อมูลประชาสัมพันธ์การป้องกันการฉ้อโกงที่จัดทำโดยรัฐบาลเป็นจำนวนสูงถึง 190.44 ล้านคนครั้ง โดยประสบความสำเร็จในการสกัดกั้นการโทรศัพท์จากต่างประเทศเพื่อฉ้อโกง รวม 17.71 ล้านครั้ง และข้อความที่ข่มขู่ด้วยเจตนามิชอบอีก 1,237 ฉบับ อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการยับยั้งการทำธุรกรรมทางการเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร ได้อีก 20,000 กรณี ควบคู่ไปกับการบุกทลายแก็งค์ฉ้อโกงทางโทรคมนาคม ได้อีก 3,930 ราย โดยสามารถอายัติเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย รวมมูลค่า 25,000 ล้านเหรียญไต้หวัน จึงเห็นได้ว่า การปราบปรามการฉ้อโกงได้ผลสัมฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม เพราะฉะนั้น รายงานของสื่อมวลชนที่กล่าวหาว่า รัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ ในการรับมือนั้น ไม่เป็นเรื่องจริงเลย
 
ศูนย์บัญชาการปราบปรามการฉ้อโกง ชี้ว่า เนื่องด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีและความครอบคลุมของเทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสารในสังคม ส่งผลให้รูปแบบกลโกงแบบเก่า ที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้โทรศัพท์ล่อลวงเหยื่อให้โอนเงิน พัฒนาไปสู่การประยุกต์ใช้รูปแบบกลโกงใหม่ ผ่านช่องทางการใช้เว็บไซต์ปลอม (Phishing Web-site) หรือการจัดตั้งแพลตฟอร์เพื่อหลอกลวงให้ทำการลงทุน หรือแม้กระทั่งการปลอมแปลงเอกสารอย่างมืออาชีพ ซึ่งแผ่ขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ประกอบกับภาวะตลาดหุ้นที่มีการซื้อขายอย่างคึกคัก ก็เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้กระทำความผิด อาศัยชื่อเสียงของที่ปรึกษาด้านการลงทุนที่ปลอมแปลงขึ้นมา ดึงดูดให้ประชาชนนำเงินมาร่วมลงทุนในระบบเป็นจำนวนมหาศาล ส่งผลให้กลวิธีในการหลอกลวงในปัจจุบัน มีความซับซ้อนและแอบแฝงมากยิ่งขึ้นทุกที ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของไต้หวันเข้ารับตำแหน่งเป็นต้นมา จึงได้ประกาศความมุ่งมั่นตั้งใจในการปราบปรามการฉ้อโกงอย่างเต็มที่ ซึ่งนอกจากสภาบริหารจะผลักดันการบัญญัติ “กฎระเบียบว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามภัยร้ายจากการฉ้อโกง” และมุ่งดำเนินภารกิจในการบัญญัติกฎหมายที่ครอบคลุม ควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรการลงโทษให้หนักขึ้นอีกกึ่งหนึ่งสำหรับผู้กระทำความผิด ยังได้ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่มีบทบาทสำคัญ ใน 7 มิติ ให้ช่วยเฝ้าระวังและตรวจสอบความปลอดภัยในสถาบันการเงิน กิจการโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มโฆษณาผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตจากแหล่งต้นตอ ตลอดจนจัดตั้งกลไกการแจ้งความที่เป็นมิตรต่อผู้เสียหาย เพื่อให้ความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้อง ในการสร้างหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชน  
 
นอกจากนี้ สภาบริหารยังได้มุ่งผลักดัน “แผนแม่บทเชิงกลยุทธ์ด้านการปราบปรามการฉ้อโกงยุคใหม่ เวอร์ชัน 2.0” ด้วยการเพิ่มในส่วนของ “การป้องกันและปราบปราม” โดยมีกระทรวงพัฒนาดิจิทัล รับหน้าที่เป็นหน่วยงานบูรณาการทรัพยากรจากภาคส่วนต่างๆ เฝ้าจับตาให้ความสำคัญกับรูปแบบการบริหารอุตสาหกรรมของเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ควบคู่ไปกับ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เสริมสร้างกลไกความร่วมมือแบบข้ามพรมแดนในเชิงลึก พร้อมทั้งเข้าตรวจสอบและกำกับดูแลอุตสาหกรรมที่เป็นกุญแจสำคัญ รวมทั้งเร่งเสริมสร้างกลไกการคุ้มครองผู้เสียหาย” นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งเป้าใน 3 มิติหลัก ได้แก่ “การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกัลการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกง การลดจำนวนการก่อเหตุ และการบรรเทาความเสียหายทางทรัพย์สิน”
 
ศูนย์บัญชาการปราบปรามการฉ้อโกง ยังชี้ด้วยว่า รัฐบาลได้ทำการประเมินทิศทางการพัฒนาของการก่ออาชญากรรมในการฉ้อโกง และเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการสกัดกั้นและปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพ ในปี 2568 จึงได้จัดสรรวงเงินงบประมาณ จำนวน 7,300 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะผนวกรวมศักยภาพของทุกหน่วยงานกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการผลักดันมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในการตรวจสอบความเสี่ยงที่จะเกิดการฉ้อโกงผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรงต่อไป
 
ศูนย์บัญชาการปราบปรามการฉ้อโกงหวังให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน รวมถึงการประสานงานระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมทั้งความร่วมมือจากประชาชนทั่วประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายนโยบายที่ว่า "เพิ่มต้นทุนการก่ออาชญากรรมฉ้อโกง และลดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน"