
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 23 ม.ค. 68
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 23 มกราคม 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ทำหน้าที่เป็นประธานใน “การประชุมคณะกรรมการด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 3” พร้อมรับฟังร่างญัตติเป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกแห่งชาติ ที่เสนอโดยสภาบริหาร ซึ่งแบ่งออกเป็น การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนร้อยละ 32 บวกลบ 2 ภายในปี 2575 และการลดปริมาณในสัดส่วนร้อยละ 38 บวกลบ 2 ภายในปี 2578 เมื่อเทียบกับปี 2548 ซึ่งพวกเราต้องเร่งดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายก่อนปี 2575 อย่างเต็มที่ และเชื่อมโยงสู่กระบวนการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับนานาชาติ ตามเป้าหมายภายในปี 2578 เพื่อสร้างคุณประโยชน์ในการร่วมบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศของโลก
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ สถานศึกษา และพลังจากภาคประชาชน หวังว่าหน่วยงานรัฐในทุกระดับ รวมถึงกลุ่ม องค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ จะสร้างความร่วมมือกัน ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น โรงเรียน ชุมชน สังคมออนไลน์ และสื่อมวลชน ดำเนินการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวางและเจาะกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการประชาสัมพันธ์แนวคิด เพื่อเพิ่มความเข้าใจและสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้นจริงในสังคม
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้ประกาศว่า ปี 2567 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.5 องศาเซลเซียสเป็นครั้งแรก ตลอดทั้งปี 2567 โลกยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมาย เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง ฝนตกหนัก และพายุรุนแรง เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเหล่านี้เตือนเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความเร่งด่วนและความจำเป็นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ด้วยเหตุนี้ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้เรียกร้องให้นานาประเทศ ยื่นเสนอ “การกำหนดคุณประโยชน์แห่งชาติ” (Nationally Determined Contributions, NDCs3.0) ที่จะบรรลุตามเป้าหมายภายในปี 2578 ก่อนการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (UNFCCC COP 30) เพื่อเร่งฝีเท้าในการปฏิบัติตามภารกิจการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมาย
หลายปีมานี้ ประเทศเจ้าภาพการประชุม COP เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บราซิล ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ต่างทยอยยื่นเสนอคำมั่นว่าด้วยการลดก๊าซเรือนกระจก รูปแบบใหม่
ส่วนการอัพเดท NDC ของนานาประเทศในรอบต่อไป มีกำหนดการจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ จึงคาดการณ์ว่า นับตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป นานาประเทศทั่วโลกจะทยอยยื่นเสนอคำมั่นในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน พวกเราก็เฝ้าถามตนเองว่า ไต้หวันสามารถยืนหยัดอยู่บนกระแสการลดคาร์บอนระดับสากลได้ไหม หรือแม้กระทั่งก้าวทันกระแสประชาคมโลกได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบของพวกเราคือใช่แน่นอน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ที่มีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก รวมไปถึงการแชมป์เบสบอลโลก อีกทั้งพวกเรายังมีผลสัมฤทธิ์อีกหลายด้าน สังคมระหว่างประเทศจึงมองไต้หวันในวันนี้แตกต่างจากอดีตไปแล้ว เราจึงจำเป็นต้องมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบต่อประชาคมโลก
นอกจากนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงสิ่งแวดล้อมของไต้หวันได้ยื่นเสนอเป้าหมายการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เฟซที่ 3 โดยได้มีการอัพเดทและกำหนดเป้าหมาย NDC ภายในปี 2573 ให้เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนร้อยละ 24 บวกลบ 1 ในปี 2548 มาสู่ร้อยละ 28 บวกลบ 2 ในปัจจุบัน
เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไต้หวัน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากรัฐบาล ภาคธุรกิจ สถานศึกษาในทุกระดับ และพลังจากภาคประชาชน นอกจากการที่แต่ละกระทรวงจะต้องดำเนินการ "จากล่างขึ้นบน" เพื่อพัฒนาเชิงลึกยิ่งขึ้นในเป้าหมายการลดคาร์บอนที่มีอยู่แล้ว สภาบริหารยังต้องดำเนินการ "จากบนลงล่าง" โดยกำหนดและผลักดันโครงการเรือธงด้านการลดคาร์บอน ผ่านเสาหลักนวัตกรรม 6 ด้าน ได้แก่ นวัตกรรมเทคโนโลยี การสนับสนุนทางการเงิน การกำหนดกลไกราคาคาร์บอน การปรับปรุงกฎระเบียบ การพัฒนาบุคลากรสายอาชีพสีเขียว และการขับเคลื่อนโดยชุมชน เพื่อเร่งกระบวนการและผลักดันการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย หรือการเดินทาง