
กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 1 ก.พ. 68
เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 นายอู๋จื้อจง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Mr. Massimo Franco นักเขียนคอลัมน์การเมืองระดับอาวุโสของสำนักข่าว Corriere Della Sera ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับภาคค่ำที่ทรงอิทธิพลของอิตาลี โดยเนื้อหาบทความข้างต้นได้ถูกตีพิมพ์บนหนังสือพิมพ์ เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2568 ในหัวข้อ “ไต้หวันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับกรุงปรากในยุคการปกครองของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ปี ค.ศ. 1938 ซึ่งได้รับความสนใจในวงกว้างจากทั้งในอิตาลีและกลุ่มประเทศยุโรป
รมช.อู๋ฯ ให้สัมภาษณ์ว่า คำกล่าวที่ว่า การยอมจำนนต่อจีนจะทำให้ไต้หวันหลีกเลี่ยงจากภัยสงครามได้นั้น ไม่เป็นความจริงเลย ในทางกลับกัน การที่ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มประเทศประชาธิปไตย กลับถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ประชาคมโลกได้มากกว่า นอกจากนี้ รมช.อู๋ฯ ยังชี้ว่า สถานการณ์ไต้หวันในปัจจุบัน คล้ายกับสถานการณ์ของเชโกสโลวาเกีย ในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งขณะนั้น เชโกสโลวาเกียเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ในทวีปยุโรปและใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก การที่นาซีเยอรมนีมีศักยภาพในการก่อสงคราม ก็เป็นผลอันเนื่องมาจากข้อได้เปรียบทางอุตสาหกรรมจากเชโกสโลวาเกีย ภายใต้ความตกลงมิวนิก (Munich Agreement) จึงเห็นได้ว่าความทะเยอทะยานของจีนที่มีต่อไต้หวัน มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับเหตุข้างต้น ปักกิ่งไม่เพียงแต่ต้องการเข้าครอบครองอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของไต้หวัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง ซึ่งไต้หวันเป็นฐานการผลิตถึง 90% ของโลก แต่ยังมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างยุทธศาสตร์ของโลกอีกด้วย
รมช.อู๋ฯ ชี้ว่า ในปี พ.ศ. 2555 รัฐบาลปักกิ่งประกาศว่า “มหาสมุทรแปซิฟิก” สามารถเป็นฐานที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของทั้งจีนและสหรัฐฯ แต่ 10 ปีให้หลัง กลับพลิกแพลงคำกล่าวที่ว่า 2 ประเทศมหาอำนาจสามารถร่วมกันอาศัยอยู่ใน “โลกใบนี้” ได้ ดังนั้น เราจึงเล็งเห็นถึงความทะเยอะทะยานของจีน ขณะเดียวกัน จีนก็ยังประกาศต่อญี่ปุ่นว่า ตนมีสิทธิโดยชอบธรรมในหมู่เกาะเซ็งกากุ อีกทั้งยังวางรากฐานโครงสร้างทางกลาโหมในพื้นที่ทะเลจีนใต้ พร้อมทั้งส่งเรือประมงและเรือรบเผชิญหน้ากับฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ยังก่อกรณีพิพาทกับอินเดียในพื้นที่เขตแดนทิเบตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนรัฐบาลปักกิ่งยังละเมิดต่อหลักประกันระหว่างประเทศที่ร่วมลงนามกับอังกฤษ ด้วยการบ่อนทำลายประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมของฮ่องกงอย่างรุนแรง รมช.อู๋ฯ จึงอาศัยโอกาสนี้ ชี้แจงว่า “ไต้หวันมิใช่ฮ่องกง และไม่ยินดีที่จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับฮ่องกง”
สำหรับประเด็นสถานภาพของไต้หวันและสถานการณ์ระหว่างประเทศ รมช.อู๋ฯ ได้บรรยายถึงคุณสมบัติการคงอยู่ที่โดดเด่นของไต้หวัน ด้วยภาษาลาตินว่า “sui generis” พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า แม้ในปัจจุบัน ไต้หวันจะมีประเทศพันธมิตรเพียง 12 ประเทศ แต่พวกเรากลับสามารถสานสัมพันธ์อันดีอย่างเป็นรูปธรรมกับมิตรประเทศ 100 กว่าประเทศทั่วโลก ถึงแม้จะไร้ซึ่งความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ แต่ไต้หวันกลับสามารถประคองความสัมพันธ์กับบรรดามิตรประเทศ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและการค้า ตลอดจนมุ่งเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับประชาคมโลก ผ่านข้อได้เปรียบทางอุตสาหกรรม โดยรมช.อู๋ฯ ได้หยิบยกกรณีตัวอย่างมาประกอบการชี้แจงว่า เนื่องจากบริษัท TSMC มีข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีและศักยภาพในการผลิต “หากไต้หวันถูกรุกราน โรงงานทั่วโลกก็จะต้องหยุดชะงักลงเป็นเวลาหลายสัปดาห์เลยทีเดียว”
รมช.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า พวกเรากำลังเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ด้วยการวางกลยุทธ์ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ : (1) การมุ่งเสริมสร้างศักยภาพทางกลาโหม ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา งบประมาณทางกลาโหมของไต้หวันได้รับการจัดสรรให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 รายจ่ายทางกลาโหมครองสัดส่วนงบประมาณรวมของรัฐบาลทั้งสิ้น ร้อยละ 20 ในปัจจุบัน ไต้หวันมีเจ้าหน้าที่ทหารรวม 180,000 คน ซึ่งเทียบเท่ากับกองทัพของเยอรมนี (2) เสริมสร้างการสนับสนุนจากโลกเสรีประชาธิปไตย หลายปีมานี้ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษและอิตาลี ต่างก็ร่วมแสดงศักยภาพทางกลาโหมในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน และส่งสัญญาณให้จีนใช้ความระมัดระวังในการกระทำการต่างๆ และ (3) ส่งเสริมให้ความมั่นคงในช่องแคบไต้หวัน ไม่เพียงแต่เป็นประเด็นในระดับภูมิภาค แต่กลายเป็นประเด็นระดับสากล รมช.อู๋ฯ ชี้ว่า ไต้หวันมีบทบาทสำคัญในนโยบายของสหรัฐฯ ที่กำหนดโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง การที่ Mr. Marco Rubio ซึ่งเป็นมิตรสหายคนสำคัญของไต้หวันได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ รวมทั้งการที่จำนวนเจ้าหน้าที่ภาครัฐของสหรัฐฯ ที่ประจำการในไต้หวันและญี่ปุ่น มียอดใกล้เคียงกัน ต่างก็แสดงให้เห็นถึงนัยยะเชิงยุทธศาสตร์ในภาพรวมของสหรัฐฯ ที่มีต่อไต้หวัน
ต่อกรณีความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – นครวาติกัน รมช.อู๋ฯ กล่าวว่า นครรัฐวาติกันแตกต่างจากกลุ่มประเทศทั่วไป เนื่องจากมีองค์การทางศาสนาที่มีมาตรฐานจริยธรรมขั้นสูง และยึดมั่นในค่านิยมว่าด้วยการธำรงรักษาคุณธรรมและเสรีภาพทางศาสนา ความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไต้หวัน – สำนักวาติกัน ตลอดระยะเวลา 80 ปีที่ผ่านมา ตั้งมั่นอยู่บนค่านิยมและความร่วมมือในระยะยาว ในปี พ.ศ. 2493 ไต้หวันเคยเปิดรับให้บรรดานักบวชในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์จากจีน เดินทางเข้าสู่เขตอาณา พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่สำนักวาติกันในการเผยแพร่ศาสนาเข้าสู่แผ่นดินจีนอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากนี้ ไต้หวันจะมุ่งรักษาความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับนครรัฐวาติกันอย่างต่อเนื่องสืบไป