
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 27 ก.พ. 67
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 78 ปีเหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ โดยปธน.ไล่ฯ ในฐานะตัวแทนของประเทศชาติ ได้แสดงความขอโทษอย่างสุดซึ้งต่อเหยื่อทางการเมืองและครอบครัว พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งอนุมัติการเปิดเผยข้อมูลลับทางราชการ และตรวจหาข้อเท็จจริงอย่างกระตือรือร้น เพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม และแสวงหาสันติสุขในสังคม ตลอดจนเพื่อป้องกันมิให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นอีก
ปธน.ไล่ฯ เน้นย้ำว่า ประเทศชาติที่ประชาชนร่วมกันกำหนดทิศทางการพัฒนา จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงมิให้กลไกทางอุดมการณ์ของรัฐ ทำร้ายใครได้อีก โดยปธน.ไล่ฯ จะมุ่งสร้างความสามัคคีภายในไต้หวัน ให้เกิดความกลมเกลียวยิ่งขึ้น โดยไม่แบ่งแยกกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะกลุ่มชนใด เพียงแค่ให้การยอมรับต่อไต้หวัน พวกเราก็ถือเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน พร้อมกันนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังคาดหวังที่จะเห็นทุกคนร่วมปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติ ธำรงรักษาค่านิยมประชาธิปไตยและเสรีภาพ ส่งเสริมให้ภาคประชาชนอยู่ดีมีสุข ตลอดจนยืนหยัดในจุดยืนที่จะไม่ยอมจำนนต่อการถูกรุกราน และไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์เหตุการณ์โศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ เกิดขึ้นซ้ำอีก
การกล่าวปราศรัยของปธน.ไล่ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ :
สาเหตุของเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ มิได้มาจากความขัดแย้งของกลุ่มชาติพันธุ์ พิธีรำลึกที่จัดขึ้นก็มิได้เป็นการสร้างความขัดแย้งในกลุ่มชาติพันธุ์ แต่มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ยุคสมัยนั้น สังคมไต้หวันเริ่มมีความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมมากขึ้น สังคมมีความมั่นคงปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือกลางคืน ก็ไม่จำเป็นต้องปิดประตูบ้าน รถจักรยานซึ่งเป็นยานพาหนะในยุคสมัยนั้น ก็ไม่ต้องล็อกกุญแจ เล้าเป็ด เล้าไก่ ก็ถูกจัดวางไว้ตามบริเวณลานหน้าบ้านได้โดยไม่ต้องกังวลใจว่าจะถูกขโมยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้คือภาพสะท้อนของบริบทสังคมในยุคสมัยนั้น
ในทางกลับกัน กองกำลังทหารจากจีนต้องเผชิญหน้ากับภัยสงครามอย่างไม่รู้จบ ทั้งการกรีธาทัพขึ้นเหนือ การต่อต้านการรุกรานจากญี่ปุ่น และการปราบปรามกองโจร จึงส่งผลให้วิถีชีวิตของประชาชนในประเทศ ไม่สามารถเทียบเคียงกับสังคมไต้หวันในยุคสมัยเดียวกันได้เลย พวกเขาต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยการลักขโมย แย่งชิงและบ่อนทำลาย จึงทำให้สังคมเกิดการแตกแยกและเกิดกบฎ ประกอบกับกฎระเบียบของกองทัพที่นำโดยจอมพลเฉินอี้ ที่นับวันยิ่งเสื่อมถอยลง ประกอบกับสถานการณ์ที่นายพล เจียงไคเชก ต้องประสบกับวิกฤตจากการก่อสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมนิวนิสต์ เพื่อสนองความต้องการในการคว้าอำนาจการปกครองเหนือไต้หวัน จึงได้ก่อเหตุโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงขึ้น ประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน ถูกจับกุม ถูกกักขัง โดนทุบตี และถูกฆ่า จนทำให้ครอบครัวสมาชิกต้องแตกแยก มีผู้คนจำนวนมากที่ต้องหลบหนีไปลี้ภัยที่ต่างประเทศ
เหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในสังคมไต้หวัน ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ประชาชนชาวไต้หวันมีสิทธิ์รับฟังอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึง เนื่องจากภายใต้แรงกดดันทางการเมืองขั้นสูง ทำให้ไม่มีคนกล้าปริปากแสดงความคิดเห็น จวบจนถึงวันที่ประชาชนชาวไต้หวัน ตัดสินใจผนึกกำลังกันเพื่อก้าวสู่กระบวนการทางประชาธิปไตย รัฐบาลจึงยินยอมกล่าวแสดงความขอโทษ และกระทำการชดใช้ ฟื้นฟูชื่อเสียงเกียรติยศ สร้างอนุสาวรีย์ และกำหนดให้วันที่ 28 ก.พ. เป็นวันหยุดราชการ ตลอดจนทำการก่อตั้งมูลนิธิ และจัดกิจกรรมพิธีรำลึกขึ้นเป็นประจำทุกปี
ปธน.ไล่ฯ รู้สึกนับถือและให้การยอมรับต่อทุกคนที่เข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม ซึ่งในปัจจุบัน มีความคืบหน้าที่เห็นได้ชัด พร้อมกล่าวว่า ในอนาคต ทั้งปธน.ไล่ฯ นายกรัฐมนตรีจั๋วหรงไท่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้สภาบริหาร จะร่วมให้ความช่วยเหลือแก่มูลนิธิ Memorial Foundation of 228 เปิดเผยข้อมูลผู้กระทำความผิด ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม ตลอดระยะหลายปีที่ผ่านมา ให้เป็นที่รับทราบโดยทั่วกัน
ปธน.ไล่ฯ ชี้แจงทิศทางภารกิจที่จะนำคณะรัฐมนตรี มุ่งมั่นดำเนินการต่อไป ดังนี้ :
ประการแรก เร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเปิดเผยข้อมูลลับทางราชการ เพื่อตรวจหาข้อเท็จจริง
เมื่อปีที่แล้ว ปธน.ไล่ฯ ได้กำชับให้กรมความมั่นคงแห่งชาติไต้หวัน ตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลลับราชการที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยแห่งกฎอัยการศึก จากไฟล์ข้อมูลทั้งสิ้นนับล้านฉบับ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จก่อนเดือนพฤษภาคมปีนี้ โดยจะยื่นส่งให้กรมบริหารสารสนเทศของคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ ทำการพิจารณา เพื่อการเปิดเผยอย่างโปร่งใส
ประการที่สอง รัฐบาลจะมุ่งบรรลุการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม ตามลำดับขั้นตอน
ขณะนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้ริเริ่มกระบวนการพิจารณาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในยุคสมัยการปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เพื่อทำการอนุรักษ์ไว้ซึ่ง “ฐานที่ตั้งที่มีนัยยะทางประวัติศาสตร์ ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม” ซึ่งในที่นี้รวมไปถึงคริสตจักร Gi-kong ซึ่งเป็นสถานที่ก่อเหตุสังหารหมู่ตระกูลหลิน โดยปธน.ไล่ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นประชาชนชาวไต้หวันทุกยุคทุกสมัย จะสามารถก้าวเข้าสู่สถานที่ทางประวัติศาสตร์ เพื่อพิจารณาทบทวน และย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์การบ่อนทำลายทางสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ในช่วงการปกครองรูปแบบเผด็จการ ทั้งนี้ เพื่อมุ่งเสริมสร้างการพัฒนาทางประชาธิปไตยของไต้หวัน ให้ดำเนินไปในทิศทางเชิงลึกต่อไป
ประการสุดท้าย หลีกเลี่ยงมิให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นอีก
กิจกรรมพิธีรำลึกที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี นอกจากจะเป็นการแสดงความไว้อาลัยแด่เหยื่อทางการเมืองที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ และส่งมอบความห่วงใยให้แก่สมาชิกครอบครัว เพื่อชดเชยการสูญเสียและความเจ็บปวดที่ผ่านมาแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นการย้อนรำลึกประวัติศาสตร์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นซ้ำอีก
พวกเราตระหนักดีว่า มีอำนาจอธิปไตยจึงจะมีประเทศชาติ มีประเทศชาติจึงจะมีประชาธิปไตย มีประชาธิปไตย ภาคประชาชนจึงจะสามารถเป็นผู้กุมชะตาชีวิตได้ด้วยตนเอง ประเทศชาติที่กำหนดทิศทางการพัฒนาโดยภาคประชาชน จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงมิให้กลไกทางอุดมการณ์ของรัฐ ทำร้ายใครได้อีก
พวกเราทราบดีว่า รัฐบาลจีนไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้ารุกรานไต้หวันด้วยกำลังอาวุธ จึงก่อเกิดเป็นภัยคุกคามที่วิกฤตที่สุด สำหรับไต้หวัน หลายปีมานี้ รัฐบาลจีนยังคงเข้ารุกรานไต้หวัน ด้วยการโจมตีทั้งทางกำลังทหารและสงครามไซเบอร์ อาศัยสภาพแวดล้อมทางประชาธิปไตย เสรีภาพ และการเปิดกว้างในแง่มุมที่หลากหลายของไต้หวัน สร้างความหวั่นวิตกแก่ภาคประชาชน จากข้อมูลรายงานของกรมความมั่นคงแห่งชาติ ระบุว่า เฉพาะในปีที่แล้ว มีผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาจารกรรมจากกลุ่มคอมมิวนิสต์ รวมกว่า 64 คน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าในปี พ.ศ. 2564 ถึง 4 เท่า