
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 20 มี.ค. 68
เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 มีนาคม 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วม งานเลี้ยงขอบคุณสำหรับความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างประเทศประจำปี หรือ “Hsieh Nien Fan” ประจำปี 2568 ที่จัดขึ้นโดยหอการค้าไต้หวัน-สหรัฐฯ (AmCham Taiwan) โดยในปัจจุบัน สหรัฐฯ นับว่าเป็นแหล่งการลงทุนหลักของไต้หวัน เมื่อปีที่แล้ว ยอดการลงทุนจากสหรัฐฯ ที่มีต่อไต้หวัน ครองสัดส่วนมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ร้อยละ 11.5% ขณะเดียวกัน การลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากไต้หวันที่มีต่อสหรัฐฯ ก็ครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 40 ของเงินลงทุนในต่างประเทศของไต้หวัน
ปธน.ไล่ฯ กล่าวแสดงความคาดหวังที่จะเห็น หอการค้าสหรัฐฯ มุ่งให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเก็บภาษีซ้ำซ้อน ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ โดยเร็ววัน ควบคู่ไปกับการยกระดับความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจแบบเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน พร้อมกล่าวเน้นย้ำว่า การธำรงรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพในระดับภูมิภาคและระดับโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่สามารถขาดได้ในความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ เชื่อว่า มีเพียงการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเท่านั้นที่จะสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมกลาโหม ควบคู่ไปกับการสร้าง “ระบบห่วงโซ่อุปทานที่เป็นอิสระจากการพึ่งพาจีน”(Non – red Supply Chain) ให้แก่กันได้
คำปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษของปธน.ไล่ฯ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ :
หลายปีที่ผ่านมา หอการค้าสหรัฐฯ ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ อย่างกระตือรือร้น ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้ไต้หวันในทุกแวดวงในสหรัฐฯ แล้ว ยังส่งมอบคำชี้แนะด้านการพัฒนาทางอุตสาหกรรมให้แก่ไต้หวันอีกด้วย เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หอการค้าสหรัฯ ได้ประกาศ “รายงานผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ” (Business Climate Survey) ประจำปี 2568 ซึ่งเผยให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนชาวต่างชาติมีต่อตลาดไต้หวัน
พวกเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่เห็นว่า ในปีที่แล้ว มีนักลงทุนชาวสหรัฐฯ กว่าร้อยละ 80 ที่ได้รับผลประโยชน์ท่วมท้นจากการบริหารธุรกิจในไต้หวัน และคาดหวังที่จะเห็นการพัฒนาในปีข้างหน้าต่อๆ ไป นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการจำนวนกว่าร้อยละ 90 ที่มีความประสงค์จะรักษาและขยายขอบเขตการลงทุนในไต้หวันเป็นวงกว้างมากขึ้นในภายภาคหน้า
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โรงงานสาขานครเกาสงของบริษัท Entegris และโรงงานแห่งที่ 4 ของบริษัท Micron Technology ที่นครไทจง ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ประกอบกับศูนย์วิจัยและพัฒนาในต่างแดนที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท Google ก็ถูกจัดตั้งที่ไต้หวัน ซึ่งได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการไปเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบริษัท Advanced Micro Device (AMD) และ NVIDIA ก็มุ่งมั่นรุกขยายรากฐานในไต้หวันอย่างต่อเนื่อง
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company Limited (TSMC) ของไต้หวันได้เข้าลงทุนในรัฐแอริโซนา สร้างสถิติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในโครงการ Greenfield ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยในระยะที่ผ่านมานี้ TSMC ได้ประกาศขยายการลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นการสร้างสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาสู่ความเจริญรุ่งเรืองแบบเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจาก TSMC แล้ว บริษัท GlobalWafers ยังได้จัดตั้งโรงงานซิลิคอนเวเฟอร์ ขนาด 12 นิ้วขึ้นที่รัฐเท็กซัส โดยในอนาคต จะยังคงมีกลุ่มผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเข้าร่วมอีกเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไต้หวัน ประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามกรอบจำกัดของมหาสมุทรแปซิฟิก รุกขยายขอบเขตไปสู่ทวีปอเมริกา
สหรัฐฯ มีแผนมุ่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรมท้องถิ่น(Reindustrialization) ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างบทบาทสถานภาพผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี AI ด้วยเหตุนี้ ไต้หวันจึงถือเป็นหุ้นส่วนที่ไม่สามารถขาดได้ของสหรัฐฯ สหรัฐฯ ครองบทบาทผู้นำในด้านการออกแบบแผ่นเวเฟอร์ โดยที่ไต้หวันได้สวมบทบาทที่ไม่สามารถขาดได้ในระบบห่วงโซ่อุปทานในด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และตอบสนองต่อการมาเยือนของยุคสมัยแห่งระบบอัจฉริยะ ไต้หวันจะยังคงมุ่งผลักดันอุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้ 5 รายการหลัก ประกอบด้วย เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การควบคุมด้านความมั่นคง และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ เป็นต้น เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจในลำดับขั้นต่อไป จึงจะเห็นได้ว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าลงทุนในไต้หวัน
รัฐบาลจะมุ่งบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ เชื่อมโยงไปสู่มาตรฐานระดับนานาชาติ สรรสร้างสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนที่เป็นมิตร โดยปธน.ไล่ฯ เชื่อว่า ผู้ประกอบการไต้หวัน - สหรัฐฯ สามารถประยุกต์ใช้ข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของกันและกันในการร่วมลงทุน เพื่อการอัดฉีดพลังแกร่งกล้าในด้านนวัตกรรมและการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบทวิภาคีในอนาคตต่อไป
นอกจากนี้ พวกเรายังคาดหวังที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ ในเชิงลึก เมื่อปีที่แล้ว ไต้หวันก้าวสู่การเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 7 ของสหรัฐฯ มูลค่าการค้าแบบทวิภาคีเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 24.2%
ปัจจุบัน ไต้หวันเตรียมที่จะขยายการจัดซื้อจากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทางอุตสาหกรรม สินค้าทางการเกษตร และก๊าซธรรมชาติ ในวันนี้ ปธน.ไล่ฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ให้การต้อนรับการเดินทางมาเยือนของ Mr. Mike Dunleavy ผู้ว่าการรัฐอลาสกา เนื่องจากรัฐอลาสกามีก๊าซธรรมชาติที่เปี่ยมคุณภาพ ระยะทางการขนส่งสู่ไต้หวันก็ถือว่าไม่ไกลกันมาก ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้สึกสนใจที่จะสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติกับรัฐอลาสกา ซึ่งนอกจากจะสอดรับต่อความประสงค์ของพวกเราแล้ว ยังสอดคล้องต่อความมั่นคงด้านพลังงานของพวกเราด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ การธำรงรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพในระดับภูมิภาคและระดับสากล ถือเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถขาดได้ในด้านความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ ท้ายนี้ พวกเราขอขอบคุณต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประสานความร่วมมือกับนายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน ปกระกาศแถลงการณ์ร่วม เมื่อช่วงที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันอย่างหนักแน่น