
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 1 ก.ค. 68
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้ให้การต้อนรับคณะตัวแทน “การประชุมนานาชาติว่าด้วยกิจการทางทะเลไต้หวัน ประจำปี 2568” พร้อมทั้งระบุว่า มหาสมุทรถือเป็นรากฐานสำคัญของไต้หวัน และเป็นเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมโยงสู่ประชาคมโลก ประกอบกับประชาชนชาวไต้หวันต่างยึดมั่นในหลักจิตวิญญาณแห่งท้องทะเลที่เปิดกว้างและเสรี โดยพวกเราจะมุ่งจับมือกับพันธมิตรประชาธิปไตยโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณูปการด้านพัฒนากิจการทางทะเล และเพื่อร่วมรักษาความมั่นคงทางทะเลให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป
“การประชุมนานาชาติว่าด้วยกิจการทางทะเลไต้หวัน ประจำปี 2568” มีกำหนดการจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 2 – 3 กรกฎาคม 2568 ปธน.ไล่ฯ จึงขอถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อผู้มีเกียรติทุกท่านที่เดินทางมาเข้าร่วมแบ่งปันความคิดเห็นและประสบการณ์การดำเนินงานของแต่ละประเทศ / เขตพื้นที่ โดยการประชุมปีนี้มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างกลยุทธ์ความมั่นคงทางทะเล และแนวทางการบรรลุเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่ยั่งยืน การเดินทางมารวมตัวกันของคณะตัวแทนจากนานาประเทศในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงคำมั่นที่มีต่อการธำรงปกป้องมหาสมุทรของพวกเราแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนที่มีต่อไต้หวันอย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย
ไต้หวันตั้งอยู่บนพื้นที่ห่วงโซ่ระยะที่ 1 และเป็นประเทศที่มีการขนส่งทางเรือที่คึกคักที่สุด ใน 10 อันดับแรกของโลก จึงสามารถถือได้ว่า ช่องแคบไต้หวันมีสถานภาพเชิงยุทธศาสตร์ทางทะเลที่โดดเด่นและสำคัญ สำหรับไต้หวันแล้ว มหาสมุทรไม่เพียงแต่เป็นรากฐานการพัฒนาเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติอีกด้วย
ปธน.ไล่ฯ แถลงว่า ตนได้กำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไว้ 3 มิติหลัก ในช่วงระหว่างการแสดงปาฐกถาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งในจำนวนนี้คือ “การสำรวจมหาสมุทร” โดยรัฐบาลจะต้องมุ่งสร้างวิถีชีวิตทางทะเลที่มีความสมบูรณ์พร้อมให้แก่ภาคประชาชน ควบคู่ไปกับการผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางอุตสาหกรรม อาทิ การขนส่งสีเขียว การประมงยั่งยืน และพลังงานหมุนเวียนจากมหาสมุทร อีกทั้งยังต้องมุ่งจัดสร้างต้นแบบใหม่ที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจและการพึ่งพาอาศัยร่วมกันในสังคม ผ่านเทคโนโลยีทางทะเลและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับบทบาทหน้าที่และศักยภาพทางการแข่งขันของไต้หวัน ให้พัฒนาไปสู่อีกขั้น
ไต้หวันล้อมรอบไปด้วยทะเลทั้ง 4 ด้าน อาณาเขตทางทะเลถือเป็นเกราะป้องกันทางธรรมชาติของพวกเรา แต่อย่างไรก็ตาม จีนยังคงสร้างวิกฤตและความท้าทายที่รุนแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน ด้วยการเข้ารุกรานไต้หวันผ่านกลยุทธ์พื้นที่สีเทาอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาความมั่นคงทางทะเลที่นับวันยิ่งทวีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น รัฐบาลจะยังคงทุ่มเททรัพยากร ด้วยการจัดตั้งเรือรบเพื่อการลาดตระเวณแล้ว ยังจะทำการติดตั้งอากาศยานไร้คนขับและอุปกรณ์การเฝ้าติดตามสถานการณ์ในรูปแบบอัจฉริยะ ทั้งใต้ท้องทะเล ผิวน้ำและบนน่านฟ้า แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของไต้หวันในการปกป้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ รวมไปถึงการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของช่องแคบไต้หวันให้คงอยู่ต่อไป
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ได้มีการจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยกิจการทางทะเลไต้หวัน เป็นต้นมา ในปัจจุบัน เวทีการประชุมนี้ได้กลายมาเป็นแพลตฟอร์มสำคัญของการเสริมสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างไต้หวันและประชาคมโลก โดยปธน.ไล่ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ได้รับข้อคิดที่เป็นประโยชน์กลับไป และหวังที่จะเห็นทุกคนมุ่งเสริมสร้างสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างกัน ในฐานะพันธมิตรทางทะเล ทั้งนี้ เพื่อร่วมส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาที่ยั่งยืนให้แก่คนรุ่นหลังต่อไป
Mr. Thomas Mcdevitt ประธานคณะกรรมการหนังสือพิมพ์ The Washington Times กล่าวว่า ไต้หวันได้ก้าวสู่การเป็นประภาคารด้านประชาธิปไตยโลก และเป็นหุ้นส่วนสำคัญของหลายประเทศทั่วโลก พร้อมนี้ Mr. Mcdevitt ยังได้หยิบยกคำกล่าวของปธน.ในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ เนื่องในวาระการขึ้นดำรงตำแหน่ง เมื่อปี 2567 ที่ระบุไว้ว่า “พวกเราจะร่วมสกัดกั้นข่าวปลอม ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความทรหดด้านประชาธิปไตย และรับมือกับความท้าทายนานาประการ เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันก้าวสู่ MVP ของโลกประชาธิปไตย”
Mr. Mcdevitt กล่าวว่า ขณะนี้ ปธน.ไล่ฯ กำลังเร่งเผยแพร่หลักการความสามัคคีแห่งชาติ 10 ประการ เพื่อช่วยให้ประชาคมโลกเกิดความเข้าใจต่อสถานภาพและแก่นแท้ของไต้หวัน รวมถึงสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ท้ายนี้ Mr. Mcdevitt ได้หยิบยกข้อพระคัมภีร์ในพันธสัญญาเดิมที่ระบุไว้ว่า “ที่ใดๆที่ไม่มีนิมิต ประชาชนก็พินาศ” (สุภาษิต 29:18) โดยเชื่อว่า ภายใต้การนำของปธน.ไล่ฯ ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล จะสามารถนำพาให้ทั่วโลกก้าวผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทางอารยธรรมในยุคสมัยนี้ไปได้อย่างราบรื่น