ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ครั้งแรกของการประชุมด้านการอุดมศึกษา ระหว่างไต้หวัน – เช็ก เปิดฉากขึ้นที่ไต้หวัน โดยมีตัวแทนสถาบันอุดมศึกษาจากไต้หวัน - เช็ก จำนวนกว่า 60 แห่งเข้าร่วมอภิปรายเพื่อมุ่งสร้างการแลกเปลี่ยนทางวิชาการในเชิงลึก
2025-07-22
New Southbound Policy。ครั้งแรกของการประชุมด้านการอุดมศึกษา ระหว่างไต้หวัน – เช็ก เปิดฉากขึ้นที่ไต้หวัน โดยมีตัวแทนสถาบันอุดมศึกษาจากไต้หวัน - เช็ก จำนวนกว่า 60 แห่งเข้าร่วมอภิปรายเพื่อมุ่งสร้างการแลกเปลี่ยนทางวิชาการในเชิงลึก (ภาพจากกระทรวงศึกษาธิการ)
ครั้งแรกของการประชุมด้านการอุดมศึกษา ระหว่างไต้หวัน – เช็ก เปิดฉากขึ้นที่ไต้หวัน โดยมีตัวแทนสถาบันอุดมศึกษาจากไต้หวัน - เช็ก จำนวนกว่า 60 แห่งเข้าร่วมอภิปรายเพื่อมุ่งสร้างการแลกเปลี่ยนทางวิชาการในเชิงลึก (ภาพจากกระทรวงศึกษาธิการ)

กระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 21 ก.ค. 68
 
เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านการอุดมศึกษา ระหว่างไต้หวัน - สาธารณรัฐเช็ก ควบคู่ไปกับการขยายความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางวิชาการแบบทวิภาคี “การประชุมด้านการอุดมศึกษา ระหว่างไต้หวัน - เช็ก” จึงมีกำหนดการเปิดฉากขึ้น ณ โรงแรม Howard Hotels กรุงไทเป โดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านการอุดมศึกษาของทั้งสองฝ่าย ต่างร่วมแลกเปลี่ยนกันในประเด็นความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดของความร่วมมือทางการศึกษาแบบทวิภาคีในภายภาคหน้า
 
การประชุมในครั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการไต้หวันได้มอบหมายให้มูลนิธิความร่วมมือนานาชาติด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไต้หวัน (Foundation for International Cooperation in Higher Education of Taiwan, FICHET) เป็นหน่วยงานเจ้าภาพ ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการศึกษาจากทั้งสองประเทศ ตัวแทนจากเช็กที่เดินทางมาเข้าร่วม ประกอบด้วย 7 อธิการบดีสถาบันระดับอุดมศึกษา ได้แก่ Mr. Michal Uhl ประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันวิจัยและการศึกษาระหว่างประเทศเช็ก (Czech National Agency for International Education and Research) Mr. Jan Mareš อธิการบดีมหาวิทยาลัย Mendel University in Brno และ Mr. Michael Kohajda อธิการบดีมหาวิทยาลัย Palacký University Olomouc รวมทั้งผู้อำนวยการกิจการฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศจาก 17 สถาบันอุดมศึกษา รวมจำนวน 36 คน แสดงให้เห็นว่า คณะตัวแทนล้วนให้ความสำคัญยิ่งต่อการประสานความร่วมมือกับไต้หวัน นอกจากนี้ Mr. David Steinke ผู้แทนรัฐบาลเช็กประจำกรุงไทเป ก็ได้ให้เกียรติเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนตัวแทนจากไต้หวันที่เข้าร่วมมีจำนวนรวม 80 คน ประกอบด้วย อธิการบดี รองอธิการบดีและผู้อำนวยการกิจการฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศ จากสถาบันระดับอุดมศึกษา 50 กว่าแห่ง
 
นางหลี่อวี้เจวียน อธิบดีกรมประสานงานระหว่างประเทศ และการศึกษาสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน กล่าวขณะปราศรัยว่า นับเป็นครั้งแรกที่ไต้หวัน - เช็ก ร่วมจัดการประชุมการอุดมศึกษา ซึ่งถือเป็นการจัดตั้งช่องทางที่เป็นระบบ เพื่อเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาระหว่างสองประเทศในเชิงลึก ตลอดที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายมุ่งสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างใกล้ชิด อันจะเห็นได้จากการที่ทั้งสองฝ่ายลงนามความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่มีผลบังคับใช้แล้ว รวม 255 รายการ จวบจนปี 2568 ซึ่งฉบับแรกได้มีการลงนามไปเมื่อปี พ.ศ. 2534 ประกอบกับปัจจุบัน มีนักศึกษาเช็กจำนวน 240 คนที่เดินทางมาเข้าศึกษาต่อในไต้หวัน ส่วนนักศึกษาไต้หวันที่เดินทางเข้าศึกษาต่อในเช็ก ก็มีจำนวนสูงถึง 343 คน นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาไต้หวัน (University Academic Alliance in Taiwan, UAAT) จำนวน 12 แห่ง กับมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาสาธารณรัฐเช็ก จำนวน 14  แห่ง ก็ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MoU) ทางการศึกษา ระหว่างกันไปเมื่อปี 2567
 
การประชุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายต่างร่วมแลกเปลี่ยนกันในหัวข้อที่หลากหลาย อาทิ การอภิปรายความสำคัญของกลไกความร่วมมือระหว่างภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรม ที่มีต่อการบ่มเพาะบุคลากรนานาชาติ การย้อนพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางความร่วมมือระหว่างไต้หวัน - เช็ก ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน การชี้แจงบรรยายสถานการณ์และนโยบายด้านการอุดมศึกษา ควบคู่ไปกับการเสนอโอกาสความร่วมมือในอนาคต เพื่อกระตุ้นความร่วมมือด้านการศึกษาและการพัฒนานวัตกรรมแบบทวิภาคีในทิศทางเชิงลึก อีกทั้งยังจัดให้มีช่วงเวลาแลกเปลี่ยนแบบตัวต่อตัว ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ตัวแทนเจ้าหน้าที่สถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วม มีโอกาสได้พูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในการมุ่งพัฒนาต่อไปในอนาคต
 
การจัดการประชุมในครั้งนี้ นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ด้านการศึกษาที่มีต่อกันมาอย่างยาวนานแล้ว ยังเป็นการอัดฉีดพลังสดใสรูปแบบใหม่เข้าสู่ระบบการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นการวางรากฐานในการบ่มเพาะบุคลากรที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีศักยภาพแบบบูรณาการ อันจะนำไปสู่การเปิดบริบทรูปแบบใหม่ของความสัมพันธ์แบบทวิภาคีในอนาคตต่อไป