
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 5 ส.ค. 68
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้ให้การต้อนรับ Mr. Boris Johnson อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และคณะตัวแทน โดยในโอกาสนี้ ปธน.ไล่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อ อดีตนรม. Johnson และรัฐบาลอังกฤษ ที่ให้ความสำคัญและส่งมอบพลังสนับสนุนต่อไต้หวันอย่างหนักแน่น ด้วยการแสดงจุดยืนเน้นย้ำความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน บนเวทีนานาชาติ ตลอดที่ผ่านมา
เริ่มต้น ปธน.ไล่ฯ ในฐานะตัวแทนภาคประชาชนชาวไต้หวัน ได้ให้การต้อนรับอดีตนรม. Johnson ที่เดินทางเยือนไต้หวันเป็นครั้งแรก ช่วงเวลานี้ประจวบกับเป็นวาระ “การประชุม Ketagalan-ความมั่นคงในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ประจำปี 2568” อดีตนรม. Johnson จึงได้รับเชิญให้ทำหน้าที่เป็นอาคันตุกะผู้บรรยายในการประชุมครั้งนี้ด้วย พร้อมกันนี้ ยังได้ระบุว่า อดีตนรม. Johnson เป็นอดีตนรม.อังกฤษคนที่ 3 ที่เดินทางเยือนไต้หวัน ต่อเนื่องจาก Ms. Margaret Thatcher และ Ms. Liz Truss
ปธน.ไล่ฯ ใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อ อดีตนรม. Johnson และรัฐบาลอังกฤษ ที่ได้ระบุถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน เป็นครั้งแรกในแถลงการณ์ร่วมหลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนําระดับโลก 7 ประเทศ (Group of Seven, G7) ในปี พ.ศ. 2564 ที่มีอังกฤษเป็นประเทศเจ้าภาพจัดขึ้น นับแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐบาลอังกฤษก็ได้แสดงจุดยืนหนักแน่นว่าด้วยการธำรงรักษาสถานภาพเดิมในช่องแคบไต้หวัน ทั้งในการประชุมแบบทวิภาคีและแบบพหุภาคี ทั้งนี้ เพื่อต้องการผนึกพลังสามัคคีที่ประชาคมโลกมีต่อไต้หวัน ให้เกิดเป็นปึกแผ่นที่มั่นคง
ปธน.ไล่ฯ เผยว่า เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เรือรบลาดตระเวนของกองทัพเรืออังกฤษในชื่อ HMS Spey ได้แล่นผ่านช่องแคบไต้หวัน เพื่อช่วยสอดส่องรักษาเสรีภาพในการเดินเรือในช่องแคบไต้หวันอย่างเป็นรูปธรรม จากนั้น รัฐบาลอังกฤษยังได้ประกาศ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” โดยชี้แจงว่า ช่องแคบไต้หวันครองบทบาทสำคัญในกลไกการค้าและระบบห่วงโซ่อุปทานโลก รัฐบาลอังกฤษไม่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อสถานภาพเดิมของช่องแคบไต้หวัน ที่เกิดจากความเห็นชอบเพียงฝ่ายเดียว และยินดีที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางความร่วมมือเชิงลึกกับไต้หวันในมิติต่างๆ บนรากฐานค่านิยมด้านประชาธิปไตยที่ยึดมั่นร่วมกัน ซึ่งมาตรการต่างๆ เหล่านี้ที่ริเริ่มดำเนินการในวาระตำแหน่งของ อดีตนรม. Johnson ได้สร้างคุณประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก
ปธน.ไล่ฯ แถลงว่า หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ทางความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ระหว่างไต้หวัน - อังกฤษ ได้สร้างหลักชัยใหม่ที่สำคัญ อันจะเห็นได้จากในปี 2566 ไต้หวัน – อังกฤษ ได้ร่วมลงนาม “ความตกลงว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางการค้า” (Enhanced Trade Partnership, ETP) ซึ่งถือเป็นแผนแม่บททางเศรษฐกิจและการค้าอย่างเป็นทางการฉบับแรก ระหว่างไต้หวันและกลุ่มประเทศทวีปยุโรป นอกจากนี้ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายยังได้ร่วมลงนามความตกลงในแกนหลัก 3 มิติ ประกอบด้วย “การลงทุน” , “การค้าดิจิทัล” และ “พลังงานและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์”
อดีตนรม. Johnson กล่าวขณะปราศรัยว่า ข้าพเจ้ามีความคิดที่อยากเดินทางเยือนไต้หวันมานานแล้ว เนื่องจากเกิดความประทับใจต่อผลสัมฤทธิ์ที่ยอดเยี่ยมหลายประการของไต้หวัน โดยเฉพาะในด้านไมโครโพรเซสเซอร์และวัฒนธรรมอาหาร นอกจากนี้ อดีตนรม. Johnson ยังให้การชื่นชมยกย่องปธน.ไล่ฯ สำหรับทิศทางนโยบายการพัฒนาประเทศชาติ และเห็นด้วยอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้ 5 รายการ และการจัดสรรให้งบประมาณทางกลาโหมของปีหน้า เพิ่มสูงขึ้นในสัดส่วนร้อยละ 3 ของ GDP
อดีตนรม. Johnson แถลงว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากและทวีด้วยความตึงเครียดเช่นนี้ กลุ่มประเทศซีกโลกตะวันตกสมควรที่จะเร่งยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองกับไต้หวันในทิศทางเชิงลึก หากแต่มิใช่การตีตนออกห่าง อันเนื่องมาจากการได้รับแรงกดดันจากประเทศภายนอก พร้อมกันนี้ อดีตนรม. Johnson ยังเน้นย้ำว่า อังกฤษจะยืนหยัดเคียงข้างไต้หวัน ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นผลอันเนื่องมาจากเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่มีร่วมกัน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่พัฒนาจนเกิดความเจริญรุ่งเรือง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ค่านิยมที่พวกเราร่วมยึดมั่นในด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ถือเป็นปัจจัยที่หล่อหลอมให้เกิดผลสัมฤทธิ์เฉกเช่นในปัจจุบัน จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการธำรงรักษาให้คงอยู่สืบไป ด้วยการผนึกกำลังระหว่างพันธมิตรประชาธิปไตยทั่วโลก