
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 17 ส.ค. 68
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 17 สิงหาคม 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วม “การประชุมเพื่อความยั่งยืนของกลุ่มผู้อำนวยการ” ที่จัดขึ้นโดยพันธมิตรด้านสภาพอากาศและสุขภาพไต้หวัน (Taiwan Climate and Health Alliance) โดยปธน.ไล่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการแพทย์ ที่มุ่งมั่นคุ้มครองสุขภาพของภาคประชาชน ด้วยการทุ่มเทในแผนปฏิบัติการเพื่อความยั่งยืนอย่างกระตือรือร้น แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ร่วมกันของพลเมืองโลก พร้อมกันนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังได้ระบุว่า รัฐบาลยังจะมุ่งให้การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในระบบการแพทย์ อันจะเห็นได้จากเมื่อปีที่แล้ว ที่มีการริเริ่มผลักดันโครงการลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกในสถานพยาบาล ตราบจนปัจจุบัน ได้มีการชี้แนะสถานพยาบาลกว่า 40 แห่งทั่วไต้หวันในการดำเนินการทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Verification, CFV) โดยรัฐบาลไต้หวันจะทำหน้าที่เป็นเกราะสนับสนุนแวดวงการแพทย์ ทั้งนี้ เพื่อบรรลุการสร้างสวัสดิการและความผาสุกให้แก่สาธารณชนโดยถ้วนหน้า
ปธน.ไล่ฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่คนยุคปัจจุบันและคนรุ่นใหม่ต้องเผชิญหน้าร่วมกัน ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ตนเข้าดำรงตำแหน่ง จึงได้ประกาศจัดตั้ง “คณะกรรมาธิการเพื่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ” โดยหวังที่จะผนึกกำลังของทุกแวดวงในภาคประชาสังคม ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในไต้หวัน เนื่องจากคลื่นความร้อนและโรคระบาดที่เกิดจากวิกฤตสภาพอากาศแปรปรวนสุดขีด มักเป็นสาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมวลมนุษยชาติโดยตรง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายต้องเผชิญหน้าร่วมกัน
ปธน.ไล่ฯ แถลงว่า เพื่อบรรลุเป้าหมาย “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (NET ZERO) ภายในปี พ.ศ.2593” การประชุมคณะกรรมาธิการที่จัดขึ้นเมื่อครั้งที่แล้ว จึงได้มีการยื่นเสนอเป้าหมายใหม่ว่าด้วยการลดก๊าซเรือนกระจกแห่งชาติ เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2548 ปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกในไต้หวัน ในปี 2573 จะลดลงในสัดส่วนร้อยละ 28% (± 2) และในปี 2575 จะลดหลั่นลงในสัดส่วนร้อยละ 32% (± 2) และคาดว่าในปี 2578 จะลดลงอีกประมาณร้อยละ 38% (± 2) อนึ่ง ปธน.ไล่ฯ ยังใช้โอกาสนี้ กำชับให้คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติและกระทรวงสิ่งแวดล้อม จับมือกันเฝ้าติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าในการยื่นเสนอแผนปฏิบัติการเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์อย่างเป็นรูปธรรมของ 6 หน่วยงานหลัก ประกอบด้วย พลังงาน การผลิต การเคหะ การคมนาคม การเกษตรและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้วางแผนทุ่มงบประมาณ 900,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ภายในปี 2573 เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชน ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนผ่านในทิศทาง 4 มิติ ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่มั่นคงยิ่งขึ้น , การเปลี่ยนผ่านทางภาคธุรกิจที่มีศักยภาพการแข่งขันมากยิ่งขึ้น , การเปลี่ยนผ่านทางสังคมที่มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น และการเปลี่ยนผ่านทางวิถีชีวิตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาไปสู่การพิชิตเป้าหมาย NET ZERO ภายในปี 2593
ปธน.ไล่ฯ ยังระบุว่า งบประมาณของระบบหลักประกันสุขภาพในปีนี้ มีสัดส่วนที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และได้มีการตัดงบประมาณบางส่วนที่คณะผู้เชี่ยวชาญไม่เห็นสมควรให้มีการเบิกจ่ายโดยภาครัฐออก นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ยื่นเสนอโครงการป้องกันโรคมะเร็ง ด้วยการวางแผนจัดตั้ง “กองทุนเพื่อการพัฒนายาต้านมะเร็ง ในมูลค่าหมื่นล้านเหรียญไต้หวัน” โดยในปีนี้ได้จัดสรรงบประมาณไว้ที่ 5,000 ล้านเหรียญไต้หวัน และคาดว่าจะยังคงสืบสานต่อไปในอนาคต อีกทั้งจะยกระดับอัตราการให้บริการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งร้ายแรง ด้วยการปรับลดอายุในการเข้ารับบริการ ควบคู่ไปกับการขยายขอบเขตรายการการตรวจคัดกรอง ซึ่งงบประมาณการตรวจคัดกรองได้เพิ่มขึ้นจาก 2,000 ล้านเหรียญไต้หวันเมื่อปีที่แล้ว มาสู่ 4,000 ล้านเหรียญไต้หวันในปีนี้ ซึ่งสร้างยอดสะสมรวมสูงถึง 6,800 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยหวังว่าจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตรวจพบความผิดปกติของร่างกายแต่เนิ่นๆ ในระยะเริ่มต้น เพื่อเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ รัฐบาลยังจะจัดตั้ง “โครงการส่งเสริมสุขภาพไต้หวัน” ด้วยงบประมาณรวมยอด 50,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ในช่วงระหว่างปี 2568 – 2572
ปธน.ไล่ฯ ระบุว่า วิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญของการพัฒนาประเทศชาติ หากบูรณาการเชื่อมโยงข้อได้เปรียบในแวดวงการแพทย์ ชีวการแพทย์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เชื่อว่าจะก่อเกิดเป็นไฮไลท์เด่นที่สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ประชาคมโลกได้อย่างแน่นอน ประกอบกับระยะนี้ รัฐบาลกำลังมุ่งผลักดัน 10 โครงสร้างพื้นฐานใหม่ด้านเทคโนโลยี AI เพื่อเป็นหนทางนำไปสู่การจัดตั้งปัญญาประดิษฐ์แบบพึ่งพาตนเอง (Sovereign AI) ซึ่งครอบคลุมในด้านการแพทย์ กฎหมายและการเงิน ปธน.ไล่ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในระหว่างการผลักดันสร้างกลไกปัญญาประดิษฐ์แบบพึ่งพาตนเองในด้านการแพทย์ จะสามารถได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือจากแวดวงการแพทย์อย่างเต็มกำลัง