
สภาบริหาร วันที่ 21 ส.ค. 68
“ญัตติงบประมาณรายรับ - รายจ่ายประจำปีงบประมาณของรัฐบาลกลาง และงบประมาณของแต่ละหน่วยงานภาครัฐ ในปีพ.ศ. 2569” ได้ชี้แจงต่อประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน และได้ผ่านการลงมติโดยสภาบริหารไต้หวันแล้ว เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังเสร็จสิ้นการประชุม นรม.จั๋วฯ จึงได้จัดงานแถลงข่าว เพื่อชี้แจงสถานการณ์การจัดสรรงบประมาณเพื่อการบริหารราชการแผ่นดิน และทิศทางการดำเนินภารกิจของภาครัฐ รวม 10 ประการ ให้สาธารณชนร่วมรับทราบโดยทั่วกัน โดยวงเงินงบประมาณรายรับในปี 2569 มีประมาณทั้งสิ้น 2,862,300 ล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งมีการขาดดุลสูงขึ้นจากปีก่อนกว่า 302,500 ล้านเหรียญไต้หวัน ส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,350,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากในปี 2568 กว่า 110,000 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยญัตติฉบับนี้จะยื่นเสนอให้สภานิติบัญญัติพิจารณา ควบคู่กับ “ร่างแผนการดำเนินนโยบายของสภาบริหาร ประจำปี 2569” เป็นวาระต่อไป
นรม.จั๋วฯ ระบุว่า ระบบเศรษฐกิจแห่งชาติอยู่ระหว่างการขยายตัวเติบโต เนื่องจาก “กฎหมายการจัดสรรรายรับทางการคลังของรัฐบาล (Act Governing the Allocation of Government Revenues and Expenditures)” ฉบับแก้ไข ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินภาษีของรัฐบาลกลางที่จะจัดสรรให้เทศบาลท้องถิ่น มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 416,500 ล้านเหรียญไต้หวัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 58% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกลางอาจจำเป็นต้องประสบกับภาวะการขาดดุลการคลังจำนวนมหาศาล แต่ถึงกระนั้น เพื่อส่งเสริมให้ประเทศชาติยังคงเดินหน้าต่อไป แม้ว่ารายรับจะลดลง แต่สภาบริหารจะยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างความแข็งแกร่งของประเทศชาติ ควบคู่ไปกับการส่งมอบการดูแลให้ภาคประชาชนอย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง อันจะเห็นได้จากการจัดสรรงบประมาณด้านกลาโหมเพิ่มขึ้น 93,800 ล้านเหรียญไต้หวัน และกำหนดให้งบประมาณโครงสร้างพื้นฐานเชิงสาธารณูปโภค เพิ่มขึ้น 37,400 ล้านเหรียญ งบประมาณการพัฒนาทางเทคโนโลยี เพิ่มขึ้น 26,900 ล้านเหรียญไต้หวัน และงบประมาณด้านการแพทย์ สาธารณสุขและสวัสดิการทางสังคม เพิ่มขึ้น 20,300 ล้านเหรียญไต้หวัน
ลำดับต่อมา นรม.จั๋วฯ ได้ชี้แจงทิศทางการดำเนินภารกิจของภาครัฐ รวม 10 ประการ ดังนี้ :
1. ลดหย่อนภาษี บรรเทาภาระและเพิ่มรายได้ครัวเรือน
2. การบรรลุเป้าหมาย “ไต้หวันสุขภาพดี” ที่ยื่นเสนอโดยปธน.ไล่ฯ ซึ่งครอบคลุมในส่วนของรายจ่ายด้านสาธารณสุข และการผลักดันกลไกการดูแลผู้สูงอายุ รูปแบบ 3.0 นรม.จั๋วฯ แถลงว่า เป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลคือหวังที่จะปกป้องคุ้มครองสุขภาพของภาคประชาชน ด้วยเหตุนี้ จึงได้จัดสรรงบประมาณ 6,000 ล้านเหรียญไต้หวันให้สำหรับ “โครงการส่งเสริมสุขภาพไต้หวัน” และอัดฉีดเงินลงทุน 5,000 ล้านเหรียญไต้หวันเข้าสู่กองทุนวิจัยยาต้านมะเร็ง ขณะเดียวกัน ก็มุ่งผลักดันกลไกการดูแลผู้สูงอายุด้วยการตั้งงบประมาณ 115,300 ล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งสูงกว่าในปีนี้ (พ.ศ. 2568) ถึง 22,700 ล้านเหรียญ
3. การพิชิตเป้าหมาย “ไต้หวันที่สมดุล” ที่ยื่นเสนอโดยปธน.ไล่ฯ ซึ่งครอบคลุมในส่วน “โครงการย่านอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตใน 6 พื้นที่หลัก” และได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 299,300 ล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าในปีนี้ถึง 43,800 ล้านเหรียญ
4. “การขยายอุปสงค์ภายในประเทศ” เพื่อรับมือกับยุคสมัยหลังมาตรการภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ ในหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่สภาบริหารในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงมหาดไทย เศรษฐกิจ คมนาคม วัฒนธรรมและการกีฬา อยู่ระหว่างการมุ่งขยายอุปสงค์ภายในประเทศและกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ด้วยการคว้าสิทธิ์เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมนานาชาติและการแสดงคอนเสิร์ต และคว้าสิทธิในการจัดการแช่งขันระดับนานาชาติในไต้หวัน ซึ่งจะสามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติเดินทางเยือนไต้หวันเพิ่มมากขึ้น
5. การผลักดันอุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้ 5 รายการ ประกอบด้วย เซมิคอนดักเตอร์ , เทคโนโลยี AI , อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ , การควบคุมด้านความมั่นคง และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ เป็นต้น โดยในจำนวนนี้ สภาบริหารได้จัดสรรงบประมาณ 31,100 ล้านเหรียญไต้หวันไว้สำหรับ “แผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI จำนวน 10 รายการ” ที่ถูกกำหนดให้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของการพัฒนาในอนาคต โดยหวังที่จะสรรสร้างให้ไต้หวันก้าวสู่ “วงจรวิถีชีวิตรูปแบบอัจฉริยะสำหรับภาคประชาชน” พร้อมทั้งขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมทุกแขนงสาขา เปลี่ยนผ่านไปสู่สู่ยุคอัจฉริยะและยุคโซลูชั่นระบบอัตโนมัติ
6. การส่งเสริม “การพัฒนาฟื้นฟูกลุ่มผู้ประกอบการรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่หลากหลาย” โดยได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 10,900 ล้านเหรียญไต้หวัน ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs เปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ตลอดจนยื่นเสนอมาตรการ “สินเชื่อที่เข้าถึงได้” และ “สิทธิประโยชน์ด้านภาษีค่าเช่า” เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องการ
7. ประเด็น “การปราบปรามการฉ้อโกง” ที่ภาคประชาชนเฝ้าจับตาให้ความสนใจ ได้ตั้งงบประมาณรวม 8,300 ล้านเหรียญไต้หวันในปี พ.ศ. 2569 เพื่อใช้ในการปราบปรามและสกัดกั้นการทุจริตฉ้อโกง ซึ่งหลังจาก “แนวทางการปราบปรามการฉ้อโกง 4 มิติ” ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าหน้าที่จึงมีเครื่องมือทางกฎหมายไว้ใช้จัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรัฐบาลจะมุ่งจัดตั้งเครือข่ายการป้องกันความมั่นคงที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นร่วมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนบุคลากร และจัดกลไกมาตรการที่เพิ่มพูน เพื่อสกัดกั้นพฤติกรรมการฉ้อโกงอย่างมีประสิทธิภาพ
8. เพื่อลดบรรเทาวิกฤตปัญหาอัตราเด็กเกิดน้อยและสังคมผู้สูงอายุ รัฐบาลจึงได้ผลักดันนโยบายส่งเสริมสวัสดิการ “เคหสถานสำหรับคู่สมรสและกลุ่มผู้ปกครอง” และ “ร่วมด้วยช่วยกันเลี้ยงดูบุตรหลาน วัย 0-6 ปี รูปแบบ 2.0” โดยจะส่งมอบเงินอุดหนุนให้คู่สมรสที่เพิ่งแต่งงาน หรือครอบครัวที่มีบุตรธิดาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในวงเงิน 10,800 ล้านเหรียญไต้หวัน และจะจัดเพิ่มเงินอุดหนุนเพื่อชดเชยส่วนต่างในด้านหลักประกันสุขภาพที่ใช้ในการคลอดและเลี้ยงดูบุตรธิดา โดยวงเงินในปีหน้านี้ตั้งไว้สูงถึง 113,600 ล้านเหรียญไต้หวัน
9. เพื่อมุ่งผลักดันการพัฒนา “การกีฬาและวัฒนธรรม” รัฐบาลจึงได้มีมติจัดตั้งกระทรวงการกีฬาไต้หวันขึ้น และจะจัดพิธีเปิดป้ายขึ้นในวันที่ 9 กันยายนที่จะถึงนี้ พวกเราจำเป็นต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านฮาร์ดแวร์ จึงจะสามารถจัดการแข่งขันระดับนานาชาติที่ดีขึ้นได้ และต้องมีสภาพแวดล้อมการฝึกอบรมที่ดี จึงจะสามารถบ่มเพาะให้เกิดบุคลากรทีมชาติที่ยอดเยี่ยมได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ตั้งวงเงินด้านการกีฬาไว้ที่ 24,800 ล้านเหรียญไต้หวัน ส่วนงบประมาณด้านวัฒนธรรม นอกเหนือจากงบประมาณหลักที่ควบคุมโดยกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว ยังรวมถึงกองทุนพัฒนาเชิงวัฒนธรรม ซึ่งในปี พ.ศ. 2569 จะสามารถสร้างยอดทะลุ 3,000 ล้านเหรียญไต้หวัน แสดงให้เห็นว่า นอกเหนือจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่พวกเรามุ่งมั่นผลักดันแล้ว รัฐบาลยังได้จัดให้นโยบายทางวัฒนธรรม เป็นรายการสำคัญของนโยบายภาครัฐอีกด้วย
10. “การป้องกันอุทกภัยอย่างมีระบบ” เนื่องด้วยสถานการณ์วายุภัยและอุทกภัยในปีนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิตของภาคประชาชน และก่อให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สิน ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกันอุทกภัยจึงเป็นประเด็นที่ไม่สามารถรอช้าได้ และไม่สามารถผลัดวันประกันพรุ่งได้ ด้วยเหตุนี้ งบประมาณการป้องกันอุทกภัยในปี พ.ศ. 2569 จึงได้รับการกำหนดไว้ที่ 53,700 ล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งนอกจากจะใช้ในการสืบสานโครงการที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว ยังครอบคลุมไปสู่ “โครงการปรับปรุงแม่น้ำลำธารและการระบายน้ำในเขตพื้นที่ เพื่อรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ” ที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณ 14,700 ล้านเหรียญไต้หวันในปีแรกอีกด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของงบประมาณด้านการทูตกลาโหมนั้น นรม.จั๋วฯ กล่าวชี้แจงว่า งบประมาณกระทรวงกลาโหมในปี 2569 ถูกกำหนดไว้ที่ 561,400 ล้านเหรียญไต้หวัน หากนับรวมงบประมาณพิเศษและกองทุนพิเศษที่ไม่แสวงหาผลกำไร และเพิ่มเงินบำนาญของข้าราชการทหารของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึก ที่ปลดเกษียณแล้ว ตามมาตรฐานองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) รวมทั้งบวกเพิ่มงบประมาณของสำนักงานป้องกันชายฝั่งทะเล จะส่งผลให้วงเงินด้านกลาโหมสูงแตะมูลค่า 949,500 ล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.32% ของ GDP นับเป็นอีกครั้งที่ไต้หวันได้แสดงให้ประชาชนและประชาคมโลก ประจักษ์เห็นว่า ไต้หวันมีความมุ่งมั่นตั้งใจและเพรียบพร้อมด้วยศักยภาพในการปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศชาติ ควบคู่ไปกับการธำรงรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ในแง่มุมการต่างประเทศ ขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศกำลังมุ่งผลักดัน “การทูตเชิงบูรณาการ” และ “โครงการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศพันธมิตร” ซึ่งได้รับการยอมรับขั้นสูงจากปธน.ไล่ฯ ทั้งนี้ เพื่อยกระดับศักยภาพทางการทูตของไต้หวัน งบประมาณด้านการต่างประเทศในปี พ.ศ. 2569 จัดให้มีวงเงินเพิ่มขึ้น 41,500 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะขยายพื้นที่ทางการทูตออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น